1/31/2553
จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือเว็บไซต์ต่างๆ ที่ได้ลงเรื่องสะเทือนขวัญคนทั่วทั้งโลกคือ แผ่นดินไหวในประเทศเฮติซึ่งเกิดในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2553 ตามวันเวลาในประเทศไทยนั้น มีความรุนแรงถึง 7.0 ริกเตอร์ ทำให้อาคารบ้านเรือนเสียหาย ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัยเดือดร้อนกันเป็นจำนวนมาก ดูได้จากภาพดังนี้
จากข่าวที่ปรากฏ ทำให้ข้าพเจ้าสลดใจและสงสารผู้คนที่ประสบเหตุการณ์น่าสะพรึ่งกลัวนี้อยู่มาก โลกของเรากำลังเป็นอะไรกันนี่ หรือใกล้จะถึงวันสิ้นโลกแล้ว จากเหตุการณ์ที่เกิดแผ่นดินไหวในเฮติครั้งนี้ หากเราย้อนกลับไปดูประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวมากที่สุดแห่งหนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้น ประเทศญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเกิดขึ้นแทบจะทุกวัน แต่พวกเขาก็ยังสามารถอาศัยอยู่ได้ ดำรงชีวิตอยู่กันอย่างปกติสุขได้ เพราะภูมิประเทศของประเทศญี่ปุ่นนั้นอยู่แนวเปลือกโลกซึ่งจะเคลื่อนตัวอยู่ตลอด พวกเขาจึงได้ปรับตัวให้เข้ากับลักษณะภูมิประเทศและใช้ชีวิตอยู่กับมัน ข้าพเจ้าได้หาข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
วันที่ 16 กรกฎาคม 2550 เมื่อเวลา 08.13 น. (ตามเวลาในประเทศไทย) หรือเวลา 10.13 น. ตามเวลาท้องถิ่น เกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.6 ริกเตอร์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ทางฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู ลึกจากระดับผิวดิน 49 กิโลเมตร โดยทางการของญี่ปุ่นได้ออกประกาศเตือนการเกิดคลื่นสึนามิแล้ว อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาได้เกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็กพัดเข้าชายฝั่งเกาะฮอนชู แต่ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ทั้งนี้ญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่บนเปลือกโลกที่ยังมีการเคลื่อนไหว 4 แผ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยที่สุดในโลก โดยแผ่นดินไหวครั้งเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นที่กรุงโตเกียวเมื่อปี 2466 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 142,000ราย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีโอกาส 90 % ที่จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นในอีก 50 ปี เมื่อเดือนตุลาคม 2547 เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริคเตอร์ในจังหวัดนิอิกาตะ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 46 ราย บ้านเรือนได้รับความเสียหาย 6 พันหลังคาเรือน ซึ่งนับเป็นแผ่นดินไหวที่ทำให้มีคนเสียชีวิตมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.2 ริกเตอร์ ที่เมืองโกเบทางตะวันตกของประเทศ เมื่อปี 2538 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6,433 ราย.
จากข่าวแผ่นดินไหวในประเทศเฮติและประเทศญี่ปุ่นก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติอันแสนน่ากลัว หากเราดำรงชีวิตอยู่ในความพอดี ไม่เบียดเบียนธรรมชาติจนเกินไป พยายามใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติ คนกับธรรมชาติก็จะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki
http://www.komchadluek.net/detail/20100113/44478
http://news.sanook.com/world/world_157264.php
8/05/2552
สื่อกราฟฟิก
การออกแบบงานกราฟฟิก : Graphic Designer
บทนำ
การสร้างอนิเมชั่นหรือการออกแบบเว็บเพจนั้น ควรมีเครื่องมือในการสร้างที่ใช้งานสะดวก
และเหมาะสมกับตนเอง ดังนั้นแต่ละบุคคลก็อาจเลือกใช้โปรแกรมเสริมที่แตกต่างกันออกไป
อย่างเช่น Program Adobe Photoshop , Macromedia Dreamweaver,
Macromedia Flash แต่จะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจวิธีการสร้างงานด้วยเครื่องมือเหล่านี้ให้ถูกกับ
จุดประสงค์ของการนำ้เสนอและมีความสวยงามเป็นที่น่้าสนใจ ดั้งนั้นข้าพเจ้าจึงได้สนใจที่จะนำ
เสนอการเรียนการสอนเรื่อง การออกแบบงานกราฟฟิก ขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ต้องการศึกษาและพัฒนา
เว็บเพจ สามารถสร้างเว็บเพจที่มีความสวยงามและถูกต้องตามจุดประสงค์ของการนำเสนอ
ศิลปะ Arts
ศิลปะ คือศาสตร์แห่งการแสดงออกจากจินตนาการและอารมณ์ เพื่อความสุขทางใจ
" การสื่อความหมาย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในงานศิลปะ "
คุณค่าของศิลปะขึ้นอยู่กับความหมายที่สื่อมาจากตัวศิลปินผู้รังสรรค์ผลงานไม่ว่าจะเป็นการสื่อความหมายแบบตรงไปตรงมา หรือสื่อความหมายแบบแอบแฝง
พอเรารู้ความหมายแล้ว คราวนี้ก็ลองมาเรียนรู้ประเภทของศิลปะแบบคร่าว ๆ กันสักหน่อย ศิลปะถูกแบ่งออกเป็น 2 สาขาใหญ่ ๆ ได้แก่
1. วิจิตรศิลป์ (Fine Arts)
เป็นศิลปะสาขาที่ตอบสนองต่อความต้องการทางจิตใจเป็นหลักแบ่งออกเป็น3 สาขา ย่อยคือ
ทัศนศิลป์ (Visual Arts) เป็นงานศิลปะที่สื่อให้เราได้รับรู้จากการมองเห็นได้แก่ - จิตรกรรม
ประติมากรรม - หัตถกรรม - ภาพพิมพ์
โสตศิลป์ (Audio Arts) เป็นศิลปะที่สื่อให้เราได้รับรู้จากการได้ยิน หรือ การอ่านจากตัวอักษร ได้แก่
- ดนตรี - วรรณคดี สตทัศนศิลป์ (Audio Visual Arts)เป็นศิลปะที่สื่อให้้เราได้รับรู้จากการแสดง ซึ่งปัจจุบันมีมากมายหลายแขนง เช่น ภาพยนต์ วิดีทัศน์ ซึ่งศิลปะสาขานี้มักจะต้อง พึ่งพาเทคโนโลยีเป็นหลัก
2. ประยุกต์ศิลป์
pplied Artsเป็นศิลปะสาขาที่ตอบสนองความต้องการของคนเราเป็นหลัก
- สถาปัตยกรรม (Architecture) เป็นศิลปะที่เกี่ยวจ้องกับการออกแบบพื้นที่ว่าง เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านการอยู่อาศัยเป็นเรื่องหลัก
- ศิลปะอุตสาหกรรม (Industrial Design) เป็นศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ตอบสนองประโยชน์ใช้สอยของ คนเราในชีวิตประจำวัน บางครั้งก็มีเรื่องของธุรกิจเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เข้ามามีอิทธิพลในงานประเภทนี้ งานออกแบบกราฟฟิก ในทุกวันนี้จัดอยู่ในหมวด ของศิลปะอุตสาหกรรม
การออกแบบ (Design)
การออกแบบ (Design) คือศาสตร์แห่งความคิด การแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ เพื่อสนองต่อจุดมุ่งหมาย และนำกลับมาใช้งานได้อย่างน่าพึงพอใจ
คราวนี้ประเด็นอยู่ที่คำว่า " พึงพอใจ " ความพึงพอใจนั้นมองหลัก ๆ มีอยู่ทั้งหมด3 ประเด็นสำคัญคือ
1. ความสวยงาม (Asthetic)
เป็นความพึงพอใจแรกที่คนเราสัมผัสได้ก่อน มนุษย์เราแต่ละคนต่างมีการรับรู้เรื่องความสวยงามและความพึงพอใจในเรื่องของความงามได้ไม่เท่ากัน ความงามจึงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาก และไม่มีกฎเกณฑ์การตัดสินใด ๆ ที่เป็นตัวกำหนดความแน่ชัดลงไป แต่เชื่อว่างานที่มีการจัดองค์ประกอบที่ดี คนส่วนใหญ่ก็จะมองว่าสวยงามได้เหมือน ๆ กัน
2. มีประโยชน์ใช้สอยที่ดี (Function)
การมีประโยชน์ใช้สอยที่ดีนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากในงานออกแบบทุกประเภท เช่น ถ้าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์เก้าอี้ เก้าอี้นั้นจะต้องนั่งสบาย ถ้าเป็นบ้าน บ้านนั้นจะต้องอยู่แล้วไม่รู้สึกอึดอัด ถ้าเป็นงานกราฟฟิกสื่อสิ่งพิมพ์ ตัวหนังสือที่อยู่ในงาน จะต้องอ่านง่าย ไม่ต้องถึงขั้นเพ่งสายตา ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นงานออกแบบที่มีประโยชน์ใช้สอยที่ดีได้ เป็นต้น
3. มีแนวความคิดในการออกแบบที่ดี (Concept)
แนวความคิดในการออกแบบที่ดีนั้นคือ หนทางความคิดที่ทำให้งานออกแบบที่ได้ ตอบสนองต่อความรู้สึกพอใจ ชื่นชม เรื่องนี้บางคนให้ความสำคัญมาก บางคนให้ความสำคัญน้อย บางคนไม่ให้ความสำคัญ ให้แค่ 2 ข้อแรกก็พอ แต่เชื่อไหมว่างานออกแบบ บางครั้งจะมีคุณค่า(Value) มากขึ้น ถ้าได้ออกแบบงานจากแนวความคิด
ขบวนการทำงานออกแบบกราฟิกGraphic Design Workflow
มาถึงเรื่องสำคัญ ขบวนการทำงานในการออกแบบนั้นครอบคลุมตั่งแต่เริ่มมีโจทย์ มีปัญหาเข้ามาให้เราได้รับรู้ ให้เราได้แก้ไข จนไปสิ้นสุดตอนส่งงาน ส่วนระหว่างทางนั้นมีอะไรบ้างเราลองมาดูกัน
1. วิเคราะห์โจทย์ ที่มีมาให้แก้ไข (Program Analysis)
จุดเริ่มต้นของงานออกแบบคือ ปัญหา ... มีปัญหา มีโจทย์ จึงมีการออกแบบแก้ไข โจทย์ที่ว่านั้นมีความยากง่ายต่างกันแล้วแต่ชนิดของงาน แต่โจทย์ไม่มีทางออก-แบบได้ ถ้าปราศจากการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง การวิเคราะห์หลัก ๆ สำหรับโจทย์งานกราฟิกมักจะเป็นดังนี้
What เราจะทำงานอะไร ? กำหนดเป้าหมายของงานที่จะทำ ซึ่งเป็นเรื่องเบื้องต้นในการออกแบบที่เราจะต้องรู้ก่อนว่า จะกำหนดให้งานของเราบอกอะไร(Inform) เช่น เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ บอกทฤษฎี หรือหลักการ เพื่อความบันเทิงเป็นต้น
Where งานของเราจะนำไปใช้ที่ไหน ? เช่น งานออกแบบผนังร้านหนังสือที่สยามสแควร์ที่เต็มไปด้วยร้านค้าแหล่งวัยรุ่น คงต้องมีสีสันฉูดฉาดสะดุดตามาก-กว่าร้านแถวสีลม ซึ่งสถานที่ในเขตคนทำงาน ซึ่งมีอายุมากขึ้น
Who ใครคือคนที่มาใช้งาน ? หรือกลุ่มผู้ใช้งานเป้าหมาย (User TargetGroup) เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการวิเคราะ์ห์โจทย์เพื่อการออกแบบ เพราะผู้ใช้งานเป้าหมายอาจเป็นตัวกำหนดแนวความคิดและรูปลักษณ์ของงานออกแบบได้เช่น งานออกแบบโปสเตอร์สำหรับผู้ใหญ่ เราต้องออกแบบโดยใช้สีจำนวนไม่มากไม่ฉูดฉาด และต้องใช้ตัวอักษรที่มีขนาดใหญ่ รวมถึงจัดวางอย่างเรียบง่ายมากกว่าผู้ใช้ในวัยอื่น ๆ
How แล้วจะทำงานชิ้นนี้อย่างไร ? การคิดวิเคราะห์ในขั้นสุดท้ายนี้อาจจะยากสักหน่อย แต่เป็นการคิดที่รวบรวมการวิเคราะห์ที่มีมาทั้งหมดกลั่นออกมาเป็นแนวทาง
2. สร้างแนวคิดหลักในการออกแบบให้ได้ (Conceptual Design)
งานที่ดีต้องมีแนวความคิด (Concept) แต่ไม่ได้หมายความว่างานที่ไม่มีแนวความคิดจะเป็นงานที่ไม่ดีเสมอไป งานบางงานไม่ได้มีแนวความคิด แต่เป็นงานออกแบบทีตอบสนองต่อกฎเกณฑ์การออกแบบ (Design Criteria) ที่มีอยู่ก็เป็นงานที่ดีได้เช่นกัน เพียงแต่ถ้าเราลองเอางานที่ดีมาวางเทียบกัน 2 ชิ้น เราอาจจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างอะไรมากมายนักในตอนแรก แต่เมื่อเรารู้ว่า งานชิ้นที่หนึ่งมีแนวความคิดที่ดี ในขณะที่อีกชิ้นหนึ่งไม่มี งานชิ้นที่มีแนวความคิดจะดูมีคุณค่าสูงขึ้นจนเราเกิดความรู้สึกแตกต่าง
3. ศึกษางานหรือกรณีตัวอย่างที่มีอยู่แล้ว (Case Study)
การศึกษากรณีตัวอย่างเป็นการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของงานที่มีอยู่แล้ว เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ออกแบบในงานของเรา สำหรับผมการทำกรณีศึกษานับเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียวในงานออกแบบ เพราะเปรียบเสมือนตัวชี้แนะหนทางในการออกแบบหรือแก้ไขปัญหาของเราได้ แต่จงระวังว่าอย่าไปติดกับรูปแบบที่ชื่นชอบมากเพราะ อาจจะทำให้เราติดกับกรอบความคิด ติดกับภาพที่เห็นจนบางครั้งไม่สามารถสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ ออกมาได้ ซึ่งการติดรูปแบบหรือภาพมากเกินไปนี้เอง มันจะซึบซับมาสู่งานของเรา จนกลายเป็นการตบแบบหรือลอกแบบชาวบ้านมานั่นเอง
4. ออกแบบร่าง (Preliminary Design)
การออกแบบร่างเป็นเรื่องสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม การออกแบบร่างคือ การออกแบบร่างเอาแนวความคิดที่เรามีออกมาตีความเป็นแบบ ซึ่งส่วนใหญ่เวลาทำงานเรามักจะสเก็ตงานด้วยมือออกมาเป็นแบบร่างก่อน (สเก็ตด้วยมือไม่ได้สวยอะไรมาก ให้เราเข้าใจคนเดียว หรือเพื่อนที่ร่วมงานกับเราเข้าใจก็พอ) เพราะการสเก็ตจากมือคือการถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในสมองของเรา สิ่งที่เป็นนามธรรมให้ออกมาเป็นรูปธรรม ความคิดออกมาจากสมองกลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ จับต้องได้บนกระดาษ แล้วจับไอ้นี่ที่เราสเก็ต หรือแบบร่างนั่นแหละ ไปทำต่อ โดยนำไปออกแบบในโปรแกรมที่ตนถนัด ไม่ว่าจะเป็น Photoshop, Illustrator หรือFreehand ฯลฯ ซึ่งก็แล้วแต่คนออกแบบแต่ละคน
5. ออกแบบจริง (Design)
ออกแบบจริงจากแบบร่างที่มีอยู่ จากแบบร่างทั้งหมดที่เราคัดเลือกแล้ว คราวนี้แหละที่เราต้องเลือกเอามาออกแบบในโปรแกรมที่เราถนัด ซึ่งขั้นตอนนี้คงจะไม่บอกว่าทำอย่างไรเพราะเป็นเรื่องต่อไปที่ให้ได้ศึกษากัน
การผลิตสื่อกราฟิก
ความหมาย และคุณค่าของสื่อกราฟิก
ความหมายและคุณค่าของสื่อกราฟิกสื่อกราฟิก หมายถึงการอธิบายด้วยภาพประกอบข้อมูลต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจประเภทของสื่อกราฟ
1.การออกแบบ สัญลักษณ์ต่างๆ
2.การออกแบบและจัดทำแผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ
3.การวาดภาพอวัยวะ และระบบต่างๆของร่างกายมนุษย์ ได้แก่ ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ เป็นต้น
....หลักการออกแบบ (powerpoint)........สื่อวัสดุกราฟิก......
" กราฟิก " (Graphic) เป็นคำมาจากภาษากรีกว่า Graphikos หมายถึง การเขียนภาพด้วยสีและเขียนภาพขาวดำและคำว่า " Graphein " มีความหมาย ทั้งการเขียนด้วยตัวหนังสือและการสื่อความหมาย โดยการใช้เส้น ....เมื่อรวมทั้งคำ Graphikos และ Graphein เข้าด้วยกัน..วัสดุกราฟิกหมายถึงวัสดุใด ๆ ซึ่งแสดงความจริง แสดงความคิดอย่างชัดเจน โดยใช้ภาพวาด ภาพเขียน และอักษรข้อความรวมกัน....ในหนังสือ Audiovisual Materials ซึ่งเขียนโดย Wittich & Schuller ได้แบ่งประเภทวัสดุกราฟิกไว้ดังนี้
1. แผนสถิติ (Graphs) แบ่งออกเป็น
...1.1 แผนสถิติแบบเส้น (Line Graphs)
...1.2 แผนสถิติแบบแท่ง (Bar Graphs)
...1.3 แผนสถิติแบบวงกลม (Circle or Pie Graphs)
...1.4 แผนสถิติแบบรูปภาพ (Pictorial Graphs)
...1.5 แผนสถิติแบบพื้นที่ (Area and Solid Figure Graphs)
2. แผนภาพ (Diagrams)
3. แผนภูมิ (Charts)
...3.1 แผนภูมิแบบต้นไม้ (Tree Charts)
...3.2 แผนภูมิแบบสายน้ำ (Stream Charts)
...3.3 แผนภูมิแบบองค์การ (Organization Charts)
...3.4 แผนภูมิแบบต่อเนื่อง (Flow Charts)
...3.5 แผนภูมิแบบเปรียบเทียบ (Comparision Charts)
...3.6 แผนภูมิแบบตาราง (Tabular Charts)
...3.7 แผนภูมิแบบวิวัฒนาการ (Experience Charts)
...3.8 แผนภูมิแบบอธิบายภาพ (Achivement Charts)
4. ภาพโฆษณา (Posters)
5. การ์ตูน (Cartoon)
6. ภาพวาด (Drawing)
7. ภาพถ่าย (Photography)
8. ภาพพิมพ์ (Printing)
9. สัญลักษณ์ (Symbols)
ที่มา: http://student.nu.ac.th/nackie/Instruction/
teeraphong.blogspot.com/2007/09/blog-post_6935.html
http://aom-edcom.blogspot.com/2007/09/blog-post_4418.html
การผลิตสื่อการสอน
1) การกำหนดวัตถุประสงค์ โดยพิจารณาวัตถุประสงค์ของสื่อ ที่สามารถส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการใช้สื่อชนิดใด ภายใต้เงื่อนไข และบริบทใด
1) ขั้นตอนการออกแบบ (Design)
1.1) การกำหนดเป้าหมายการสอน ในส่วนนี้จะครอบคลุมถึงขั้นตอนต่างๆ ดังนี้- การวิเคราะห์ปัญหา- การศึกษาลักษณะของผู้เรียน- การเขียนเป้าหมาย- กำหนดบรรยากาศการเรียนรู้ที่เหมาะสม
1.2) การวิเคราะห์รูปแบบการสอนที่เหมาะสม ในขั้นตอนการวิเคราะห์จะครอบคลุมถึงขั้นตอนต่างๆ ดังนี้- การพัฒนาแผนที่การเรียน (Learning Map) ได้แก่ การวิเคราะห์เป้าหมายและกำหนดทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้- การกำหนดทักษะพื้นฐานที่จำเป็น (Prerequisite Skills)- การกำหนดประเภทของทักษะ เป็นการแยกแยะ(Discrimination) กรอบแนวคิดหลัก (Concepts) หรือการเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ (Rule learning)
1.4) การกำหนดวิธีการประเมินผล ในขั้นตอนนี้มีการกำหนดวิธีการประเมินผลที่ประกอบด้วย การกำหนดการทดสอบที่จำเป็น การพัฒนารูปแบบข้อสอบและการหาความเชื่อมั่น(Reliability) และค่าความเที่ยง (Validity) ของแบบทดสอบ
2.1) การเขียนผังงานและการสร้างสตอรี่บอร์ด การเขียนผังงานจะช่วยให้เกิดความชัดเจนในการทำงานโดยเฉพาะการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีโปรแกรมเมอร์หลายคนทำงานร่วมกัน เหมือนเป็นพิมพ์เขียวในการทำงาน ส่วนการสร้างสตอรี่บอร์ดมีความจำเป็นเพราะเป็นการกำหนดรายละเอียดต่างๆที่ปรากฏบนหน้าจอ ซึ่งเป็นการนำผังงานมาลงรายละเอียด
3) ขั้นตอนการประเมินผลและแก้ไขบทเรียน (Development and Evaluation)
3.2) การทดสอบการใช้บทเรียน หลังจากมีการสร้างโปรแกรมขั้นแรกแล้ว จะมีการทดสอบการใช้บทเรียนกับผู้เรียนที่เป็นประชากรในกลุ่มเป้าหมายและเก็บข้อมูลสำคัญในการทดสอบ เช่น คะแนนสอบ ทัศนคติของผู้เรียนและผู้สอน
องค์ประกอบของการผลิตสื่อการสอนที่มีคุณภาพ ถ้าพูดในแง่ของบุคลากร จะประกอบด้วย
1. Subject matter expert (SME) หรือ Content expert เป็นบุคคลที่เป็นเจ้าของเนื้อหา เช่น ครู อาจารย์ หรือ เจ้าหน้าที่ในหน่วยต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาที่ตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่
2. Graphic designer เป็นบุคคลที่สร้างสื่อประสม เช่น ภาพ รูปวาด ไดอะแกรม เสียง เพลง ภาพยนตร์ แอนิเมชั่น เป็นต้น ในมุมมองที่ Content expert ต้องกา
3. Instructional designer เป็นบุคคลที่ออกแบบคำสอนว่า ควรจะสื่อให้ผู้เรียนเข้าใจได้อย่างไร ในรูปแบบใด
ในปัจจุบัน เนื่องจากมีโปรแกรมสร้างสื่อการสอนที่สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น ดังนั้น Content expert อาจเรียนรู้เป็น Computer programmer ได้ไม่ยากนัก และมักจะสอนมานานจึงมีความสามารถในการออกแบบคำสอนได้พอสมควร จึงพอจะอนุโลมว่าสามารถเป็น Instructional designer ได้ในตัว แต่มักพบว่าการเป็น Graphic designer จะกระทำได้ยากเนื่องจากศิลปการทำกราฟิกส์หรือมัลติมีเดียนั้น ต้องการความเป็นศิลปส่วนบุคคลซึ่งเรียนรู้ได้ยากกว่าความเป็นศาสตร์ที่ Content expert รู้อยู่แล้ว รวมทั้งการเขียนโปรแกรมและการออกแบบคำสอน
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าปัจจัยความสำเร็จของการสร้างสื่อการสอนที่มีคุณภาพ จึงอยู่ที่ความสามารถในการสื่อสารระหว่างบุคลากรทั้ง 4 ประเภทดังกล่าวข้างต้น ให้เข้าใจเนื้อหาและวัตถุประสงค์ตรงกัน และทำงานร่วมกันอย่างผสมกลมกลืนกัน
ที่มา:http://gotoknow.org/blog/edutech/5693
http://supanida-opal.blogspot.com/2007/05/blog-post_2592.html
แนวคิดทางการสื่อสาร
ความหมาย Communication
มาจากภาษาลาตินว่า Communis ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า Common แปลว่า ความร่วมมือกันหรือความคล้ายคลึงกัน การสื่อสารจึงหมายถึง
“การกระทำของคนเราที่มุ่งสร้างความร่วมมือกันหรือคล้ายคลึงกัน นั่นคือการพยายามแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความคิดและทัศนคติซึ่งกันและกัน โดยอาศัยความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเป็นที่ตั้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน”Wilbur Schramm
“การสื่อสารคือกระบวนการแลกเปลี่ยนข่าวสารเกิดขึ้นโดยการถ่ายทอดสารจากบุคคลฝ่ายหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ส่งสารผ่านสื่อหรือช่องทางต่าง ๆ ไปยังผู้รับสารโดยมี วัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง” สุมน อยู่สิน
องค์ประกอบการสื่อสาร
SIMMCREFI
องค์ประกอบ 9 ประการ ในการนำเสนอด้วยสื่อใดๆ
S= source (sender) แหล่งที่ส่งสารออกไป อาจเป็นบุคคล, องค์กรก็ได้
I= information ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นสิ่งที่หยิบฉวยเอาได้ทั่วไป อาจเป็นข้อความ ภาพ วิดีโอ เสียง สัญลักษณ์ ลีลา อารมณ์ เวลา (infotime)
M= message สิ่งที่ผ่านการกลั่นกรองแล้ว เพื่อนำเสนอ อาจเป็น ข้อความ (text), ภาพ (image), ภาพเคลื่อนไหว (Video & animation), เสียง (wave, midi, voice), multimedia, สัญลักษณ์, ลีลา, อารมณ์, เวลา
M= media สื่อ (สิ่งที่บรรจุด้วย message) = message จะถูกนำไปวางใน media = media คือที่อยู่ของ message ตัวอย่างสื่อ เช่น เทป, แผ่นซีดี, flash drive, harddisk, ฟิล์มสไลด์, คลื่นแม่เหล็ก, คลื่นไฟฟ้า (digital), คลื่นเสียง (radio), คลื่นอารมณ์ (โกรธ เกลียด พยาบาท รัก ชอบ-พอใจ เฉยๆ), ช่วงเวลา
C= channelช่องทาง หรือพาหะ พาสื่อ (media) จากแหล่งต้นทาง ไปยังผู้รับ อาจผ่านอุปสรรคต่างๆ (noise) ทำให้ผู้รับ รับสารได้ไม่ดี ต้องกำจัด noise หรือ ส่งข้อมูลซ้ำ เพิ่มความแรง ความถี่ ในการส่ง ฯลฯ
R= recieverผู้รับสาร มี 5 กลุ่ม * Initiator กลุ่มผู้แนะนำ-ชักชวน (เพื่อนบ้าน เพื่อสนิท ญาติ)* Influence กลุ่มผู้มีอิทธิพลในการเลือกรับฟัง-รับชม (ครู พ่อ แม่ พระ หมอดู แฟน)* Decision Maker กลุ่มผู้ตัดสินใจเลือกข่าวสาร (คนซื้อ นสพ./ซีดี คนหยิบแผ่นใส่เครื่องอ่าน คนเลือกสถานี)*Buyer กลุ่มผู้จ่ายค่าบริการ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าซื้อ tv ค่าเช่าซีดี*Consumer กลุ่มผู้รับรู้-บริโภค (คนอ่าน/คนดู/คนฟัง)
กลุ่มเป้าหมายผู้รับสาร ที่ควรรู้ แบ่งตามประเทภ*Demographic Background ชื่อ อายุ ที่อยู่ ที่ติดต่อ อาชีพ ฯลฯ*Psychographic Background ชอบ ไม่ชอบ ความคิด วิสัยทัศน์ อุดมการณ์*Media Usage พฤติกรรมการเปิดรับสื่อ (อยากรับ เวลาใด อารมณ์ใด โอกาสใด จำนวนครั้ง)*Consumer Behavior พฤติกรรมการบริโภค (บ่อย นานๆครั้ง ประจำ เพิ่งครั้งแรก ครั้งสุดท้าย)
E= effectพฤติกรรมการรับรู้ ยอมรับ รู้จัก ของผู้รับสาร
F= feedbackพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเปลี่ยนแปลงความรู้ Knowledgeเปลี่ยนแปลงทัศนคติ Attitudeเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Practice)
I= interactionพฤติกรรมตอบรับ two-way communication
บุคคลคนเดียวทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ส่งสารและผู้รับสาร จึงเป็นพื้นฐานของการสื่อสารประเภทอื่น
*การสื่อสารระหว่างบุคคล Interpersonnal Communication
เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไปทำการแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกัน
การสื่อสารกลุ่มย่อย
Small-Group Communication
*การสื่อสารระหว่างบุคคลกลุ่มเล็ก โดยจะมีจำนวนเท่าไรไม่มีกำหนดแน่นอนตายตัวที่อาจมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน เช่น การเรียนในห้องเรียน การประชุม การพบประสังสรรค์
*การสื่อสารสาธารณะ Public Communication การสื่อสารกับกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น การพูดในห้องประชุมขนาดใหญ่ การปราศรัยหาเสียงของนักการเมือง หรือการพูดในที่ชุมนุมชน
*การสื่อสารมวลชน การสื่อสารที่มีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ทั้ง ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ผู้ส่งสารจะมีลักษณะเป็นองค์กรที่มีการทำงานอย่างเป็นระบบ เช่น สำนักงานหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีวิทยุโทรทัศน์
ความสำคัญของการสื่อสาร
*ความสำคัญต่อการดำรงชีวิต
คนเราไม่ว่าจะอาศัยอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตามสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยอาศัยสื่อ
*ความสำคัญต่อการเมืองและการปกครองประเทศ
ในการกำหนดนโยบายหรือการดำเนินการใด ๆ ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับประชาชน รัฐบาลต้องสร้าง
*ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ
การสื่อสารช่วยสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนและนักลงทุนหรือผู้ประกอบการ หรือส่งเสริม
*ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
การสื่อสารช่วยพัฒนาความรู้ให้กว้างขวาง ให้การศึกษาแก่ประชาชนทั้งในระบบและนอกระบบ
หน้าที่ของการสื่อสาร
1. หน้าที่โดยชัดแจ้ง (manifest function)
การสื่อสารสามารถทำหน้าที่ได้ตามผลที่ผู้ส่งสารคาดหวังเอาไว้
2. หน้าที่แฝงหรือซ่อนเร้น (latent function)
การสื่อสารทำหน้าที่ในทางที่ไม่คาดหวังตามผลที่ผู้ส่งสารคาดหวังเอาไว้
หน้าที่ของสื่อสารมวลชนต่อสังคม
1. หน้าที่เสนอข่าวสาร เป็นการเสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาไม่มีการแทรกความเห็นหรือแปลความหมายของข่าวสารแต่อย่างใด
2. หน้าที่เสนอความเห็น เป็นการให้คำอธิบายความหมายเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือ ข้อเท็จจริงเพื่อผู้รับสารเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ทัศนคติ หรือพฤติกรรม
3. หน้าที่บริการด้านการศึกษา มุ่งเสนอข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เป็นประโยชน์เพื่อช่วยในการตัดสินใจและดำเนินชีวิตประจำวันแก่ประชาชน
4. หน้าที่ให้บริการบันเทิง มุ่งเร้าอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าที่จะเสริมสร้างความคิดและเปลี่ยนพฤติกรรมของคน
บริบทและองค์ประกอบของสาธารณะ
1. ทุน และ ทรัพยากร
1.1 ทรัพยากรวัตถุ และธรรมชาติ
-วัตถุดิบ-บริสุทธิ์ (raw material)-วัตถุดิบ-เวียนใหม่ (recycle material และรวมถึง reject, reuse, reform)-วัตถุแปรรูป (modify material) -วัตถุสำเร็จรูป (commodity)-วัตถุที่มีสิทธิครอบครองได้โดยธรรมชาติ (แผ่นดิน, อากาศ, แสงแดด, น้ำตามแหล่งธรรมชาติ) **มี “ค่า” สูง แต่มี “ราคา” ต่ำ**-วัตถุที่มีลิขสิทธิ์ หรือมีสิทธิครอบครองตามที่กฎหมายกำหนด **มี “ราคา” สูง แต่มี “ค่า” ต่ำ**
** การวัด “ค่า” ขึ้นอยู่กับ 5t (true, trust, taste, tangible, test)** “ราคา” ขึ้นอยู่กับ ปริมาณความต้องการอยากตอบสนองสิ่งเร้า ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งมีหน่วยการวัดที่สังคมยอมรับ
1.2 ทรัพยากรบุคคล และทุนทางสังคม
-คน-ระบบ-สังคม สิ่งแวดล้อม-สุขภาวะ (กาย จิต จิตวิญญาณ สังคม-สาธารณโภคี (ระบบประกันคุณภาพ และสวัสดิการ)
1.3 ทรัพยากรเวลา และความรัก
1.4 ทรัพยากรการสื่อสาร
-ระบบจำลองการสื่อสาร SMCR-สื่อ และสื่อสารมวลชน-องค์ประกอบและคุณสมบัติ (place, position, time, quality message, access & connect, attention, motion)
2. การใช้อำนาจ และการตอบสนองต่อการใช้อำนาจ
2.1 ระบบธนาธิปไตย
2.2 ระบบประชาธิปไตย
2.3 ระบบอัตตาธิปไตย
2.4 ระบบธรรมาธิปไตย
แนวคิด ทฤษฎี ด้านการสื่อสาร และสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับนิเทศศาสตร์สาธารณะ
ทฤษฎีสื่อสารมวลชน Theories of the Press
ทฤษฎีว่าด้วยองค์ประกอบของการสื่อสาร Theory Component in Communication
ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล Individual Differences Theory
ทฤษฎีการแบ่งกลุ่มทางสังคม Social Categories Theory
ทฤษฎีการสื่อสารแบบสองขั้นตอน Two-Step Flow of Communication Theory
ทฤษฎีสารสนเทศ Information Theory
ผู้นำความคิดเห็น Opinion Leaders or Influentials
การกำหนดประเด็นการรับรู้ข่าวสาร Agenda Setting
ทฤษฎีการสื่อสารในองค์กร Organizational Communication
ผู้เฝ้าประตูข่าวสาร Gatekeeper
การเซ็นเซอร์ Censorship
การวิเคราะห์ผู้รับสาร General Concept of Audience Analysis
การวิเคราะห์ผู้รับสารกับการรับรู้ Audience Analysis and Perception
การรณรงค์เพื่อการสื่อสารประเด็นสาธารณะ Public Communication Campaign
การสื่อสารสาธารณะ
การสื่อสารระหว่างบุคคล Interpersonal Communication
การสื่อสารทางการเมือง Political Communication
การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม Intercultural Communication
การเลือกรับรู้ Selective Perception
การเลือกเปิดรับ Selective Exposure
การเลือกจดจำ Selective Retention
การผลิตข่าว News Production
การรายงานข่าวและการนำเสนอข่าว News Reporting
การบรรณาธิกรณ์ข่าว
การผลิตรายการวิทยุ Radio Production
การผลิตรายการโทรทัศน์ TV Production
แนวคิดด้านการประชาสัมพันธ์ Public Relations
การเผยแพร่ Publicity
ภาพลักษณ์ Image
การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด Marketing Public Relations
แนวคิดด้านการโฆษณาAdvertising
ทฤษฎีสัญญะวิทยา
การชักจูงใจ Persuasion
ผลของการเรียนรู้ Learning Effect
การเรียนรู้ทางสังคม Social Learning
การเปลี่ยนค่านิยม Value Change
ความเข้าใจ Understanding
ทัศนคติ Attitude
กระบวนการยอมรับสิ่งใหม่ Adoption Process
รูปแบบการดำเนินชีวิต Lifestyle
ทฤษฎีเกี่ยวกับบุคลิกภาพ Theory of Personality
แนวคิดเกี่ยวกับการตลาด Marketing
การสื่อสารการตลาด Marketing Communication
การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน Integrated Marketing Communication
ความหมายทางทฤษฎี
ทฤษฎี ประกอบด้วยสาระพื้นฐาน 2 ประการ คือ
แนวคิดและข้อความที่สัมพันธ์กับแนวคิดนั้น และทฤษฎีย่อมประกอบด้วยแนวคิดอย่างน้อยที่สุด 2 แนวคิด และข้อความที่อธิบายหรือคาดการณ์ล่วงหน้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดนั้น
แนวคิด บรรยายถึงจุดม่งหมายและหน้าที่
ทฤษฎี (Theory) คือ ข้อความ หรือข้อสรุปซึ่งปรากฎอยู่ในรูปประโยคเชิงเหตุผล เพื่อการบรรยาย อธิบาย หรือทำนายปรากฎการณ์ หรือเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์ ภายใต้บริบทใดบริบทหนึ่ง หรือหลากหลายบริบท
โดยทั่วไปแล้ว ข้อความ หรือ ข้อสรุปที่นำเสนอในทฤษฎี ประกอบด้วย
1. ประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์หนึ่งๆ
2. คำนิยาม หรือคำอธิบายความหมายของประเด็นต่างๆเหล่านั้น
3. หลักการ ข้อเท็จจริง และสมมติฐานเกี่ยวกับปรากฎการณ์ในด้านต่างๆอย่างเป็นระบบ เช่น สาเหตุในการเกิดปรากฎการณ์ ขั้นตอนการเกิดปรากฎการณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นต่างๆในเชิงเหตุผล ตลอดจนข้อตกลงเบื้องต้นในการศึกษาปรากฎการณ์
แนวคิด (Concept) คือข้อสรุป ที่บุคคลใช้ในการอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆที่ตนสามารถสังเกตเห็นโดยตรง หรืออาจรับรู้ทางอ้อมผ่านการถ่ายทอด การบอกเล่า คำอธิบายของผู้อื่น
ประเภทของแนวคิด
1. แนวคิดเชิงรูปธรรม เป็นแนวคิดที่เราสามารถระบุคำนิยามศัพท์เกี่ยวกับองค์ประกอบต่างๆของแนวคิดได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในรูปของการสังเกต การวัด หรือการประเมินผล
2. แนวคิดเชิงนามธรรม เป็นแนวคิดที่เราไม่ได้ระบุคำนิยามศัพท์ในเชิงการสังเกต การวัด หรือการประเมินผล ไว้อย่างชัดเจน
-------------------------------------------------------------------------
8/04/2552
สัปดาห์ที่10 บันทึกแนวคิดการสื่อสาร
บทที่ 1การสื่อสาร
คำนำ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้วมนุษย์จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการสื่อสารตั้งแต่เกิดจนตาย ในสมัยก่อนการติดต่อสื่อสารจะใช้อาณัติสัญญาณต่างๆ อาทิเช่น เสียงกลอง ควันไฟ ฯลฯ ต่อมาการติดต่อสื่อสารได้เปลี่ยนเป็นการเขียนภาพไว้ตามผนังถ้ำ เช่น ภาพครอบครัว ภาพการล่าสัตว์ แล้วพัฒนาต่อไปเป็นการประดิษฐ์ ตัวอักษรขึ้นมาใช้ การติดต่อสื่อสารหรือสื่อความหมายก็ใช้ในลักษณะการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งลักษณะหลังนี้ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ได้รับการพัฒนาอย่างมาก จึงทำให้การติดต่อสื่อสารของมนุษย์เป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว กว้างขวาง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนถึงขั้นที่อาจจะกล่าวได้ว่า สังคมเราทุกวันนี้เป็นสังคมของข้อมูลข่าวสาร (Information Society) นั่นก็คือ ข่าวสารต่างๆ เข้ามามีส่วนสำคัญหรือมีบทบาทในการดำรงชีวิตของมนุษย์เกือบทุกรูปแบบนั่นเองในวันหนึ่งๆ จะมีการสื่อสารเกิดขึ้นมาเกือบทุกรูปแบบ ตัวอย่างเช่น การสื่อสารภายในตัวบุคคลจะเกิดขึ้นเมื่อเรานอนหลับแล้วฝันหรือละเมอ การสื่อสารระหว่างบุคคลจะเกิดขึ้นเมื่อเราพูดคุยกับคนใดคนหนึ่ง การสื่อสารมวลชนจะเกิดขึ้นเมื่อเราอ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรือการสื่อสารกลุ่มใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อเราฟังบรรยายในห้องเรียน เป็นต้น ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกคน จะต้องพบกับกระบวนการสื่อสารเหล่านี้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทหรือสถานภาพแบบใดก็ตาม เพราะฉะนั้น ตราบใดก็ตามที่มนุษย์จำเป็นจะต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม การติดต่อสื่อสารย่อมต้องมีความจำเป็นอย่างแน่นอน ทั้งนี้เพื่อสร้างความเป็นระเบียบในการอยู่ร่วมกัน สร้างความเข้าใจ ความช่วยเหลือ และความสามัคคี เป็นต้น
โดยทั่วไปภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารจะมี 2 ประเภท คือ