tag:blogger.com,1999:blog-11055355099579410502024-03-05T02:54:29.466-08:00310101 ICTNiicHiiZhttp://www.blogger.com/profile/12328744447792380326noreply@blogger.comBlogger5125tag:blogger.com,1999:blog-1105535509957941050.post-76800992114088950102010-01-31T20:46:00.000-08:002010-02-02T03:33:45.328-08:00<strong>แผ่นดินไหวในเฮติกับประเทศญี่ปุ่น</strong><br /><br />จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือเว็บไซต์ต่างๆ ที่ได้ลงเรื่องสะเทือนขวัญคนทั่วทั้งโลกคือ แผ่นดินไหวในประเทศเฮติซึ่งเกิดในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2553 ตามวันเวลาในประเทศไทยนั้น มีความรุนแรงถึง 7.0 ริกเตอร์ ทำให้อาคารบ้านเรือนเสียหาย ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัยเดือดร้อนกันเป็นจำนวนมาก ดูได้จากภาพดังนี้<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEielrgq7snN-Ys8kKwNyOUD6tTg_A02US7tXgF-xvluTO_miE2iQc6FLg0aUjUdy0umRaeWbIfIwKPxda2f_3UPu-RFYrDyLqbpyTWqbvsjZi9KJyu4Z1m11XkyT8avKAv-BcHKlKYYXAk/s1600-h/rwanda1ax1.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 212px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEielrgq7snN-Ys8kKwNyOUD6tTg_A02US7tXgF-xvluTO_miE2iQc6FLg0aUjUdy0umRaeWbIfIwKPxda2f_3UPu-RFYrDyLqbpyTWqbvsjZi9KJyu4Z1m11XkyT8avKAv-BcHKlKYYXAk/s320/rwanda1ax1.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433135963234041458" /></a><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEht1gTm85sqAUl9tmCrrLvFT37SCn9ongyha5mgXakujLiCCg5DzhIjvMDbmZk43uFJvPG3iRmvnIe_finbkm0YQmD87xZgTC6sc54qElLTQ7MWBQF9DKF7rrOxGIqnBErLJLLa18TFx4E/s1600-h/800px-Downtown_Port_au_Prince_after_earthquake.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 213px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEht1gTm85sqAUl9tmCrrLvFT37SCn9ongyha5mgXakujLiCCg5DzhIjvMDbmZk43uFJvPG3iRmvnIe_finbkm0YQmD87xZgTC6sc54qElLTQ7MWBQF9DKF7rrOxGIqnBErLJLLa18TFx4E/s320/800px-Downtown_Port_au_Prince_after_earthquake.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433137563701814546" /></a><br /><br /> จากข่าวที่ปรากฏ ทำให้ข้าพเจ้าสลดใจและสงสารผู้คนที่ประสบเหตุการณ์น่าสะพรึ่งกลัวนี้อยู่มาก โลกของเรากำลังเป็นอะไรกันนี่ หรือใกล้จะถึงวันสิ้นโลกแล้ว จากเหตุการณ์ที่เกิดแผ่นดินไหวในเฮติครั้งนี้ หากเราย้อนกลับไปดูประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวมากที่สุดแห่งหนึ่งก็คงจะหนีไม่พ้น ประเทศญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเกิดขึ้นแทบจะทุกวัน แต่พวกเขาก็ยังสามารถอาศัยอยู่ได้ ดำรงชีวิตอยู่กันอย่างปกติสุขได้ เพราะภูมิประเทศของประเทศญี่ปุ่นนั้นอยู่แนวเปลือกโลกซึ่งจะเคลื่อนตัวอยู่ตลอด พวกเขาจึงได้ปรับตัวให้เข้ากับลักษณะภูมิประเทศและใช้ชีวิตอยู่กับมัน ข้าพเจ้าได้หาข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้<br /><br /> วันที่ 16 กรกฎาคม 2550 เมื่อเวลา 08.13 น. (ตามเวลาในประเทศไทย) หรือเวลา 10.13 น. ตามเวลาท้องถิ่น เกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.6 ริกเตอร์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ทางฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู ลึกจากระดับผิวดิน 49 กิโลเมตร โดยทางการของญี่ปุ่นได้ออกประกาศเตือนการเกิดคลื่นสึนามิแล้ว อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาได้เกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็กพัดเข้าชายฝั่งเกาะฮอนชู แต่ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต<br /> ทั้งนี้ญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่บนเปลือกโลกที่ยังมีการเคลื่อนไหว 4 แผ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อยที่สุดในโลก โดยแผ่นดินไหวครั้งเลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นที่กรุงโตเกียวเมื่อปี 2466 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 142,000ราย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีโอกาส 90 % ที่จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นในอีก 50 ปี เมื่อเดือนตุลาคม 2547 เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริคเตอร์ในจังหวัดนิอิกาตะ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 46 ราย บ้านเรือนได้รับความเสียหาย 6 พันหลังคาเรือน ซึ่งนับเป็นแผ่นดินไหวที่ทำให้มีคนเสียชีวิตมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.2 ริกเตอร์ ที่เมืองโกเบทางตะวันตกของประเทศ เมื่อปี 2538 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6,433 ราย. <br /><br /> จากข่าวแผ่นดินไหวในประเทศเฮติและประเทศญี่ปุ่นก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติอันแสนน่ากลัว หากเราดำรงชีวิตอยู่ในความพอดี ไม่เบียดเบียนธรรมชาติจนเกินไป พยายามใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติ คนกับธรรมชาติก็จะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข<br /><br /><br /><br /><br /><strong>ที่มา </strong>http://th.wikipedia.org/wiki<br /> http://www.komchadluek.net/detail/20100113/44478<br /> http://news.sanook.com/world/world_157264.phpNiicHiiZhttp://www.blogger.com/profile/12328744447792380326noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1105535509957941050.post-59735917209618398392009-08-05T23:09:00.000-07:002009-08-17T07:08:28.933-07:00สื่อกราฟฟิก<div align="center"><object height="110" width="300" ><param name="movie" value="http://resources-p2.imeem.com/resources/versioned/192/flash/audio_player3.swf?headerColor=ffffff&autoShuffle=false&r=web%7C_y9b6grMW4-JbiOZLFNt-KLZuFzj6ZgYMq87y2XKZgWiMHOz9yPWFon9Q6EvuMRU2Y10T0iJnm1MrqCViqlAsrcek7CWlp7XKcTIncXDWbTz7fKCSgCpHpmcuR0CPMevUbI&isPrimary=true&primaryColor=003366&pm=st&secondaryColor=3366cc&linkColor=336699&gatewayUrl=http%3A%2F%2Fwww.imeem.com%2Famf%2F&ak=JGCqB5jhe-&backColor=66ccff&mids=JGCqB5jhe-&autoStart=true&aa=0"/><param name="wmode" value="transparent"/><embed src="http://resources-p2.imeem.com/resources/versioned/192/flash/audio_player3.swf?headerColor=ffffff&autoShuffle=false&r=web%7C_y9b6grMW4-JbiOZLFNt-KLZuFzj6ZgYMq87y2XKZgWiMHOz9yPWFon9Q6EvuMRU2Y10T0iJnm1MrqCViqlAsrcek7CWlp7XKcTIncXDWbTz7fKCSgCpHpmcuR0CPMevUbI&isPrimary=true&primaryColor=003366&pm=st&secondaryColor=3366cc&linkColor=336699&gatewayUrl=http%3A%2F%2Fwww.imeem.com%2Famf%2F&ak=JGCqB5jhe-&backColor=66ccff&mids=JGCqB5jhe-&autoStart=true&aa=0" type="application/x-shockwave-flash" width="300" height="110" wmode="transparent"></embed></object><br /><a href="http://imeem.kapook.com/view.php?key=fb160c2cc0971522a777adb2817776f4" target="_blank"><font size="1">ดูโค้ดเพลง (embed code) คลิกที่นี่</font></a></div><br /><br /><br /><br /><span style="color:#9999ff;"></span><br /><span style="color:#33cc00;">การออกแบบงานกราฟฟิก : Graphic Designer</span><br /><br /><span style="color:#ffffff;"><span style="color:#ffff33;">บทนำ</span><br /></span>การสร้างอนิเมชั่นหรือการออกแบบเว็บเพจนั้น ควรมีเครื่องมือในการสร้างที่ใช้งานสะดวก<br />และเหมาะสมกับตนเอง ดังนั้นแต่ละบุคคลก็อาจเลือกใช้โปรแกรมเสริมที่แตกต่างกันออกไป<br />อย่างเช่น Program Adobe Photoshop , Macromedia Dreamweaver,<br />Macromedia Flash แต่จะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจวิธีการสร้างงานด้วยเครื่องมือเหล่านี้ให้ถูกกับ<br />จุดประสงค์ของการนำ้เสนอและมีความสวยงามเป็นที่น่้าสนใจ ดั้งนั้นข้าพเจ้าจึงได้สนใจที่จะนำ<br />เสนอการเรียนการสอนเรื่อง การออกแบบงานกราฟฟิก ขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ต้องการศึกษาและพัฒนา<br />เว็บเพจ สามารถสร้างเว็บเพจที่มีความสวยงามและถูกต้องตามจุดประสงค์ของการนำเสนอ<br /><br /><br /><br /><span style="color:#ff0000;">ศิลปะ Arts</span><br />ศิลปะ คือศาสตร์แห่งการแสดงออกจากจินตนาการและอารมณ์ เพื่อความสุขทางใจ<br />" การสื่อความหมาย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในงานศิลปะ "<br /><br />คุณค่าของศิลปะขึ้นอยู่กับความหมายที่สื่อมาจากตัวศิลปินผู้รังสรรค์ผลงานไม่ว่าจะเป็นการสื่อความหมายแบบตรงไปตรงมา หรือสื่อความหมายแบบแอบแฝง<br />พอเรารู้ความหมายแล้ว คราวนี้ก็ลองมาเรียนรู้ประเภทของศิลปะแบบคร่าว ๆ กันสักหน่อย ศิลปะถูกแบ่งออกเป็น 2 สาขาใหญ่ ๆ ได้แก่<br /><br /><span style="color:#cc66cc;">1. วิจิตรศิลป์ (Fine Arts)</span><br />เป็นศิลปะสาขาที่ตอบสนองต่อความต้องการทางจิตใจเป็นหลักแบ่งออกเป็น3 สาขา ย่อยคือ<br /><br />ทัศนศิลป์ (Visual Arts) เป็นงานศิลปะที่สื่อให้เราได้รับรู้จากการมองเห็นได้แก่ - จิตรกรรม<br />ประติมากรรม - หัตถกรรม - ภาพพิมพ์<br />โสตศิลป์ (Audio Arts) เป็นศิลปะที่สื่อให้เราได้รับรู้จากการได้ยิน หรือ การอ่านจากตัวอักษร ได้แก่<br />- ดนตรี - วรรณคดี สตทัศนศิลป์ (Audio Visual Arts)เป็นศิลปะที่สื่อให้้เราได้รับรู้จากการแสดง ซึ่งปัจจุบันมีมากมายหลายแขนง เช่น ภาพยนต์ วิดีทัศน์ ซึ่งศิลปะสาขานี้มักจะต้อง พึ่งพาเทคโนโลยีเป็นหลัก<br /><br /><br /><span style="color:#ff99ff;">2. ประยุกต์ศิลป์</span><br />pplied Artsเป็นศิลปะสาขาที่ตอบสนองความต้องการของคนเราเป็นหลัก<br />- สถาปัตยกรรม (Architecture) เป็นศิลปะที่เกี่ยวจ้องกับการออกแบบพื้นที่ว่าง เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านการอยู่อาศัยเป็นเรื่องหลัก<br />- ศิลปะอุตสาหกรรม (Industrial Design) เป็นศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ตอบสนองประโยชน์ใช้สอยของ คนเราในชีวิตประจำวัน บางครั้งก็มีเรื่องของธุรกิจเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เข้ามามีอิทธิพลในงานประเภทนี้ งานออกแบบกราฟฟิก ในทุกวันนี้จัดอยู่ในหมวด ของศิลปะอุตสาหกรรม<br /><br /><span style="color:#ff0000;">การออกแบบ (Design)</span><br />การออกแบบ (Design) คือศาสตร์แห่งความคิด การแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ เพื่อสนองต่อจุดมุ่งหมาย และนำกลับมาใช้งานได้อย่างน่าพึงพอใจ<br />คราวนี้ประเด็นอยู่ที่คำว่า " พึงพอใจ " ความพึงพอใจนั้นมองหลัก ๆ มีอยู่ทั้งหมด3 ประเด็นสำคัญคือ<br /><br /><span style="color:#00cccc;">1. ความสวยงาม (Asthetic)<br /></span>เป็นความพึงพอใจแรกที่คนเราสัมผัสได้ก่อน มนุษย์เราแต่ละคนต่างมีการรับรู้เรื่องความสวยงามและความพึงพอใจในเรื่องของความงามได้ไม่เท่ากัน ความงามจึงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาก และไม่มีกฎเกณฑ์การตัดสินใด ๆ ที่เป็นตัวกำหนดความแน่ชัดลงไป แต่เชื่อว่างานที่มีการจัดองค์ประกอบที่ดี คนส่วนใหญ่ก็จะมองว่าสวยงามได้เหมือน ๆ กัน<br /><span style="color:#66cccc;">2. มีประโยชน์ใช้สอยที่ดี (Function)</span><br />การมีประโยชน์ใช้สอยที่ดีนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากในงานออกแบบทุกประเภท เช่น ถ้าเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์เก้าอี้ เก้าอี้นั้นจะต้องนั่งสบาย ถ้าเป็นบ้าน บ้านนั้นจะต้องอยู่แล้วไม่รู้สึกอึดอัด ถ้าเป็นงานกราฟฟิกสื่อสิ่งพิมพ์ ตัวหนังสือที่อยู่ในงาน จะต้องอ่านง่าย ไม่ต้องถึงขั้นเพ่งสายตา ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นงานออกแบบที่มีประโยชน์ใช้สอยที่ดีได้ เป็นต้น<br /><span style="color:#00cccc;">3. มีแนวความคิดในการออกแบบที่ดี (Concept)</span><br />แนวความคิดในการออกแบบที่ดีนั้นคือ หนทางความคิดที่ทำให้งานออกแบบที่ได้ ตอบสนองต่อความรู้สึกพอใจ ชื่นชม เรื่องนี้บางคนให้ความสำคัญมาก บางคนให้ความสำคัญน้อย บางคนไม่ให้ความสำคัญ ให้แค่ 2 ข้อแรกก็พอ แต่เชื่อไหมว่างานออกแบบ บางครั้งจะมีคุณค่า(Value) มากขึ้น ถ้าได้ออกแบบงานจากแนวความคิด<br /><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff6600;">ขบวนการทำงานออกแบบกราฟิกGraphic Design Workflow</span><br />มาถึงเรื่องสำคัญ ขบวนการทำงานในการออกแบบนั้นครอบคลุมตั่งแต่เริ่มมีโจทย์ มีปัญหาเข้ามาให้เราได้รับรู้ ให้เราได้แก้ไข จนไปสิ้นสุดตอนส่งงาน ส่วนระหว่างทางนั้นมีอะไรบ้างเราลองมาดูกัน<br /><br /><span style="color:#33ffff;">1. วิเคราะห์โจทย์ ที่มีมาให้แก้ไข (Program Analysis) </span><br />จุดเริ่มต้นของงานออกแบบคือ ปัญหา ... มีปัญหา มีโจทย์ จึงมีการออกแบบแก้ไข โจทย์ที่ว่านั้นมีความยากง่ายต่างกันแล้วแต่ชนิดของงาน แต่โจทย์ไม่มีทางออก-แบบได้ ถ้าปราศจากการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง การวิเคราะห์หลัก ๆ สำหรับโจทย์งานกราฟิกมักจะเป็นดังนี้<br />What เราจะทำงานอะไร ? กำหนดเป้าหมายของงานที่จะทำ ซึ่งเป็นเรื่องเบื้องต้นในการออกแบบที่เราจะต้องรู้ก่อนว่า จะกำหนดให้งานของเราบอกอะไร(Inform) เช่น เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ บอกทฤษฎี หรือหลักการ เพื่อความบันเทิงเป็นต้น<br />Where งานของเราจะนำไปใช้ที่ไหน ? เช่น งานออกแบบผนังร้านหนังสือที่สยามสแควร์ที่เต็มไปด้วยร้านค้าแหล่งวัยรุ่น คงต้องมีสีสันฉูดฉาดสะดุดตามาก-กว่าร้านแถวสีลม ซึ่งสถานที่ในเขตคนทำงาน ซึ่งมีอายุมากขึ้น<br />Who ใครคือคนที่มาใช้งาน ? หรือกลุ่มผู้ใช้งานเป้าหมาย (User TargetGroup) เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการวิเคราะ์ห์โจทย์เพื่อการออกแบบ เพราะผู้ใช้งานเป้าหมายอาจเป็นตัวกำหนดแนวความคิดและรูปลักษณ์ของงานออกแบบได้เช่น งานออกแบบโปสเตอร์สำหรับผู้ใหญ่ เราต้องออกแบบโดยใช้สีจำนวนไม่มากไม่ฉูดฉาด และต้องใช้ตัวอักษรที่มีขนาดใหญ่ รวมถึงจัดวางอย่างเรียบง่ายมากกว่าผู้ใช้ในวัยอื่น ๆ<br />How แล้วจะทำงานชิ้นนี้อย่างไร ? การคิดวิเคราะห์ในขั้นสุดท้ายนี้อาจจะยากสักหน่อย แต่เป็นการคิดที่รวบรวมการวิเคราะห์ที่มีมาทั้งหมดกลั่นออกมาเป็นแนวทาง<br /><span style="color:#33ffff;">2. สร้างแนวคิดหลักในการออกแบบให้ได้ (Conceptual Design)</span><br />งานที่ดีต้องมีแนวความคิด (Concept) แต่ไม่ได้หมายความว่างานที่ไม่มีแนวความคิดจะเป็นงานที่ไม่ดีเสมอไป งานบางงานไม่ได้มีแนวความคิด แต่เป็นงานออกแบบทีตอบสนองต่อกฎเกณฑ์การออกแบบ (Design Criteria) ที่มีอยู่ก็เป็นงานที่ดีได้เช่นกัน เพียงแต่ถ้าเราลองเอางานที่ดีมาวางเทียบกัน 2 ชิ้น เราอาจจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างอะไรมากมายนักในตอนแรก แต่เมื่อเรารู้ว่า งานชิ้นที่หนึ่งมีแนวความคิดที่ดี ในขณะที่อีกชิ้นหนึ่งไม่มี งานชิ้นที่มีแนวความคิดจะดูมีคุณค่าสูงขึ้นจนเราเกิดความรู้สึกแตกต่าง<br /><span style="color:#66ffff;">3. ศึกษางานหรือกรณีตัวอย่างที่มีอยู่แล้ว (Case Study)</span><br />การศึกษากรณีตัวอย่างเป็นการวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของงานที่มีอยู่แล้ว เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ออกแบบในงานของเรา สำหรับผมการทำกรณีศึกษานับเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียวในงานออกแบบ เพราะเปรียบเสมือนตัวชี้แนะหนทางในการออกแบบหรือแก้ไขปัญหาของเราได้ แต่จงระวังว่าอย่าไปติดกับรูปแบบที่ชื่นชอบมากเพราะ อาจจะทำให้เราติดกับกรอบความคิด ติดกับภาพที่เห็นจนบางครั้งไม่สามารถสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ ออกมาได้ ซึ่งการติดรูปแบบหรือภาพมากเกินไปนี้เอง มันจะซึบซับมาสู่งานของเรา จนกลายเป็นการตบแบบหรือลอกแบบชาวบ้านมานั่นเอง<br /><span style="color:#66ffff;">4. ออกแบบร่าง (Preliminary Design)</span><br />การออกแบบร่างเป็นเรื่องสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม การออกแบบร่างคือ การออกแบบร่างเอาแนวความคิดที่เรามีออกมาตีความเป็นแบบ ซึ่งส่วนใหญ่เวลาทำงานเรามักจะสเก็ตงานด้วยมือออกมาเป็นแบบร่างก่อน (สเก็ตด้วยมือไม่ได้สวยอะไรมาก ให้เราเข้าใจคนเดียว หรือเพื่อนที่ร่วมงานกับเราเข้าใจก็พอ) เพราะการสเก็ตจากมือคือการถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในสมองของเรา สิ่งที่เป็นนามธรรมให้ออกมาเป็นรูปธรรม ความคิดออกมาจากสมองกลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ จับต้องได้บนกระดาษ แล้วจับไอ้นี่ที่เราสเก็ต หรือแบบร่างนั่นแหละ ไปทำต่อ โดยนำไปออกแบบในโปรแกรมที่ตนถนัด ไม่ว่าจะเป็น Photoshop, Illustrator หรือFreehand ฯลฯ ซึ่งก็แล้วแต่คนออกแบบแต่ละคน<br /><span style="color:#ffff99;"><span style="color:#66ffff;">5. ออกแบบจริง (Design)</span><br /></span>ออกแบบจริงจากแบบร่างที่มีอยู่ จากแบบร่างทั้งหมดที่เราคัดเลือกแล้ว คราวนี้แหละที่เราต้องเลือกเอามาออกแบบในโปรแกรมที่เราถนัด ซึ่งขั้นตอนนี้คงจะไม่บอกว่าทำอย่างไรเพราะเป็นเรื่องต่อไปที่ให้ได้ศึกษากัน<br /><br /><br /><a href="http://teeraphong.blogspot.com/2007/09/blog-post_6935.html"><span style="color:#ff0000;">การผลิตสื่อกราฟิก</span></a><span style="color:#ffff66;"><br /></span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144035/EA.doc"><span style="color:#33ff33;">ความหมาย และคุณค่าของสื่อกราฟิก</span></a><br />ความหมายและคุณค่าของสื่อกราฟิกสื่อกราฟิก หมายถึงการอธิบายด้วยภาพประกอบข้อมูลต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจประเภทของสื่อกราฟ<br />1.การออกแบบ สัญลักษณ์ต่างๆ<br />2.การออกแบบและจัดทำแผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ<br />3.การวาดภาพอวัยวะ และระบบต่างๆของร่างกายมนุษย์ ได้แก่ ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ เป็นต้น<br /><br /><br /><span style="color:#6666cc;">....หลักการออกแบบ (powerpoint)........สื่อวัสดุกราฟิก......</span><br />" กราฟิก " (Graphic) เป็นคำมาจากภาษากรีกว่า Graphikos หมายถึง การเขียนภาพด้วยสีและเขียนภาพขาวดำและคำว่า " Graphein " มีความหมาย ทั้งการเขียนด้วยตัวหนังสือและการสื่อความหมาย โดยการใช้เส้น ....เมื่อรวมทั้งคำ Graphikos และ Graphein เข้าด้วยกัน..วัสดุกราฟิกหมายถึงวัสดุใด ๆ ซึ่งแสดงความจริง แสดงความคิดอย่างชัดเจน โดยใช้ภาพวาด ภาพเขียน และอักษรข้อความรวมกัน....ในหนังสือ Audiovisual Materials ซึ่งเขียนโดย Wittich & Schuller ได้แบ่งประเภทวัสดุกราฟิกไว้ดังนี้<br />1. แผนสถิติ (Graphs) แบ่งออกเป็น<br />...1.1 แผนสถิติแบบเส้น (Line Graphs)<br />...1.2 แผนสถิติแบบแท่ง (Bar Graphs)<br />...1.3 แผนสถิติแบบวงกลม (Circle or Pie Graphs)<br />...1.4 แผนสถิติแบบรูปภาพ (Pictorial Graphs)<br />...1.5 แผนสถิติแบบพื้นที่ (Area and Solid Figure Graphs)<br />2. แผนภาพ (Diagrams)<br />3. แผนภูมิ (Charts)<br />...3.1 แผนภูมิแบบต้นไม้ (Tree Charts)<br />...3.2 แผนภูมิแบบสายน้ำ (Stream Charts)<br />...3.3 แผนภูมิแบบองค์การ (Organization Charts)<br />...3.4 แผนภูมิแบบต่อเนื่อง (Flow Charts)<br />...3.5 แผนภูมิแบบเปรียบเทียบ (Comparision Charts)<br />...3.6 แผนภูมิแบบตาราง (Tabular Charts)<br />...3.7 แผนภูมิแบบวิวัฒนาการ (Experience Charts)<br />...3.8 แผนภูมิแบบอธิบายภาพ (Achivement Charts)<br />4. ภาพโฆษณา (Posters)<br />5. การ์ตูน (Cartoon)<br />6. ภาพวาด (Drawing)<br />7. ภาพถ่าย (Photography)<br />8. ภาพพิมพ์ (Printing)<br />9. สัญลักษณ์ (Symbols)<br /><br /><br />ที่มา: <span style="color:#ff6600;">http://student.nu.ac.th/nackie/Instruction/<br />teeraphong.blogspot.com/2007/09/blog-post_6935.html </span><br /><span style="color:#ff6600;"></span><a href="http://aom-edcom.blogspot.com/2007/09/blog-post_4418.html"><span style="color:#ff6600;">http://aom-edcom.blogspot.com/2007/09/blog-post_4418.html</span></a><br /><br /><br /><p align="center"><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.blogger.com/video.g?token=AD6v5dzvmxK2HASq2T090yAdZ8JjxD3kzCfKH-rMJ2vclH0HS5NL4Qmxpt_xblAcskJ7__md6nu-ItjusTYbxSsdng' class='b-hbp-video b-uploaded' frameborder='0'></iframe></p>NiicHiiZhttp://www.blogger.com/profile/12328744447792380326noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1105535509957941050.post-37147900271701362552009-08-05T22:10:00.000-07:002009-08-05T23:03:27.787-07:00การผลิตสื่อการสอน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdIgRyrtc5kDnjmEojK_L_8D_lObYLs_Pzv-7K0rITl9_ZAFlUSTDamQSo_h_aT4ErxQ89cCAVQEzx1LS-qxu-CeV7nlvhH8UJ79tKLcVuvy9YmgVPHpcyZ1YtRORqCQI64XwgRjqKNu4/s1600-h/kapook_43361.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5366720358635409730" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 162px; CURSOR: hand; HEIGHT: 43px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdIgRyrtc5kDnjmEojK_L_8D_lObYLs_Pzv-7K0rITl9_ZAFlUSTDamQSo_h_aT4ErxQ89cCAVQEzx1LS-qxu-CeV7nlvhH8UJ79tKLcVuvy9YmgVPHpcyZ1YtRORqCQI64XwgRjqKNu4/s320/kapook_43361.gif" border="0" /></a><br /><div><div><div><div><div><div><div><div><div><div><span style="color:#3366ff;"></span></div><div align="center"><span style="color:#3366ff;">ร</span><a href="http://supanida-opal.blogspot.com/2007/05/blog-post_2592.html"><span style="font-size:130%;color:#3366ff;">ะบบการผลิตสื่อการเรียนการสอน</span></a> </div><div align="center"><br /></div><div><span style="color:#ffff00;">1.ความหมายของเทคโนโลยีและสื่อการเรียนการสอน</span></div><div><div><div><br /><div>เทคโนโลยีและสื่อการเรียนการสอนนั้น เป็นการนำวัตถุ เช่น เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในงานเทคนิคต่างๆ องค์ความรู้ กิจกรรม กรรมวิธี ระบบเทคนิคเชิงสังคม (Sociotechnical System) มาเป็นสิ่งเอื้ออำนวยต่อการเรียนการสอน หรือที่เรียกว่า สื่อการเรียนการสอน (Instructional Media) โดยมุ่งหวังการบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน และให้ผู้เรียนมีกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</div><br /><div><span style="color:#33ff33;">2.ระบบการผลิตสื่อการเรียนการสอน</span></div><br /><div>ระบบการผลิตสื่อการเรียนการสอน หมายถึง การนำเอาวิธีการระบบมาใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการ สอน โดยมีขั้นตอนทั้งหมด 6 ขั้นตอน ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน ดังนี้ </div><br />1) <span style="color:#ff6666;">การกำหนดวัตถุประสงค์</span> โดยพิจารณาวัตถุประสงค์ของสื่อ ที่สามารถส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการใช้สื่อชนิดใด ภายใต้เงื่อนไข และบริบทใด<br /><br /><div>2) <span style="color:#ff6666;">การเลือก</span> การเลือกสื่อที่สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของการเรียน ความสามารถของผู้เรียน เนื้อหา และค่าใช้จ่าย ตลอดจนวิธีการใช้สื่อ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์</div><br /><div>3) <span style="color:#ff6666;">การผลิต</span> เป็นการดำเนินการตามที่ได้เลือกสื่อไว้ แล้วพิจารณา จัดลำดับขั้นตอนในการผลิต ตั้งแต่กำหนดผู้ผลิต การเลือกวัสดุ เครื่องมือ อุปกรณ์ ภายใต้ระยะเวลาที่เหมาะสม และกำหนดโครงสร้างเนื้อหาในการผลิตสื่อให้มีความสัมพันธ์กัน</div><br /><div>4) <span style="color:#ff6666;">การทดสอบก่อนใช้</span> ระหว่างการใช้ และภายหลังจากการใช้สื่อ เป็นการตรวจสอบประสิทธิภาพของสื่อเพื่อการได้มาซึ่งข้อมูล ความเหมาะสมของสื่อ หรือข้อบกพร่องที่พบในสื่อนั้น ว่าควรได้รับการปรับปรุง แก้ไขให้เหมาะสมกับบริบทในการเรียนของผู้เรียน</div><br /><div>5) <span style="color:#ff6666;">การนำไปใช้</span> เป็นการนำสื่อไปใช้จริง เมื่อผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและรับรองผลมาแล้ว</div><br /><div>6) <span style="color:#ff6666;">การบำรุงรักษา</span> เป็นขั้นตอนต่อเนื่อง เพื่อให้สื่อที่ผลิตขึ้นนั้นมีสภาพพร้อมในการใช้งานได้เสมอ ยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานและคุ้มค่า จึงรวมถึงวิธีการใช้สื่อที่ถูกต้อง ตลอดจนวิธีการจัดเก็บรักษาสื่อที่เหมาะสม</div><br /><div><span style="color:#6600cc;">3. รูปแบบการผลิตสื่อการเรียนการสอน</span></div><br /><div><span style="color:#339999;">3.1)รูปแบบการออกแบบระบบการผลิตคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)</span></div><br /><div>1) Roblyer and Hall (1985)รูปแบบการออกแบบระบบการผลิต CAI ของ Roblyer and Hall เป็นรูปแบบเชิงระบบในการออกแบบ โดยพัฒนาจากรูปแบบการออกแบบการเรียนการสอน(The Systems Approach Model for Designing Instruction)ของ Dick and Carey (1978)รูปแบบการออกแบบระบบการผลิต CAI ของ Roblyer and Hall (1985 : 14-31)ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้</div><div>1) ขั้นตอนการออกแบบ (Design)</div><div>2) ขั้นตอนการสร้างบทเรียน (Pre-Programming Development)</div><div>3) ขั้นตอนการประเมินผลและแก้ไขบทเรียน (Development and Evaluation)</div><div></div><div>รายละเอียดของขั้นตอนทั้ง 3 ขั้นตอนของ รูปแบบการออกแบบระบบการผลิต CAI ของRoblyer and Hall ถูกนำเสนอในรูปผังดำเนินการที่มีความสัมพันธ์กัน ดังนี้</div><p><span style="color:#9999ff;">1) ขั้นตอนการออกแบบ (Design)</span> </p><p>1.1) การกำหนดเป้าหมายการสอน ในส่วนนี้จะครอบคลุมถึงขั้นตอนต่างๆ ดังนี้- การวิเคราะห์ปัญหา- การศึกษาลักษณะของผู้เรียน- การเขียนเป้าหมาย- กำหนดบรรยากาศการเรียนรู้ที่เหมาะสม</p><p>1.2) การวิเคราะห์รูปแบบการสอนที่เหมาะสม ในขั้นตอนการวิเคราะห์จะครอบคลุมถึงขั้นตอนต่างๆ ดังนี้- การพัฒนาแผนที่การเรียน (Learning Map) ได้แก่ การวิเคราะห์เป้าหมายและกำหนดทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้- การกำหนดทักษะพื้นฐานที่จำเป็น (Prerequisite Skills)- การกำหนดประเภทของทักษะ เป็นการแยกแยะ(Discrimination) กรอบแนวคิดหลัก (Concepts) หรือการเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ (Rule learning) </p><div>1.3) การกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ในขั้นตอนนี้คือการกำหนดสิ่งที่ผู้เรียนจะสามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งหลังจากเรียนจบบทเรียนแล้ว </div><p>1.4) การกำหนดวิธีการประเมินผล ในขั้นตอนนี้มีการกำหนดวิธีการประเมินผลที่ประกอบด้วย การกำหนดการทดสอบที่จำเป็น การพัฒนารูปแบบข้อสอบและการหาความเชื่อมั่น(Reliability) และค่าความเที่ยง (Validity) ของแบบทดสอบ </p><div>1.5) การออกแบบกลวิธีการสอน เป็นการออกแบบกลวิธีการสอนที่เหมาะสมกับการสอนในแต่ละวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ในขั้นตอนนี้ได้พิจารณาถึงหลักการออกแบบการสอน 9 ขั้นของGagne& Briggs (1974) ได้แก่ ดึงดูดความสนใจ บอกวัตถุประสงค์ ทบทวนความรู้เดิม การเสนอเนื้อหาใหม่ ชี้แนวทางการเรียนรู้ กระตุ้นการตอบสนอง ให้ผลป้อนกลับ ทดสอบความรู้ การจำและนำไปใช้การพิจารณาออกแบบกลวิธีการสอนขึ้นอยู่กับประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วย กล่าวคือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนปะเภทติวเตอร์ (Tutorial) จะครอบคลุมขั้นตอนการสอนทั้ง 9 ขั้น หากเป็นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทแบบฝึกหัด (Drills) จะครอบคลุมขั้นตอนการกระตุ้นตอบสนองและให้ผลป้อนกลับเป็นหลัก ส่วนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบสถานการณ์จำลอง (Simulations) จะครอบคลุมขั้นตอนการชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ และหรือการปฏิบัติ</div><div></div><div><span style="color:#9999ff;">2)</span> <span style="color:#9999ff;">ขั้นตอนการสร้างบทเรียน (Pre-Programming Development)</span></div><p>2.1) การเขียนผังงานและการสร้างสตอรี่บอร์ด การเขียนผังงานจะช่วยให้เกิดความชัดเจนในการทำงานโดยเฉพาะการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่มีโปรแกรมเมอร์หลายคนทำงานร่วมกัน เหมือนเป็นพิมพ์เขียวในการทำงาน ส่วนการสร้างสตอรี่บอร์ดมีความจำเป็นเพราะเป็นการกำหนดรายละเอียดต่างๆที่ปรากฏบนหน้าจอ ซึ่งเป็นการนำผังงานมาลงรายละเอียด </p><div>2.2) การเขียนเอกสารประกอบ เป็นเอกสารประกอบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ถูกพัฒนาให้เหมาะสมกับความต้องการ ซึ่งทีมงานได้ออกแบบระบบการจัดการในการจัดเก็บข้อมูล การวางแผน ในการผลิตเอกสารเพื่อสนับสนุนระบบบริหารจัดการ </div><div>2.3) การทบทวนก่อนสร้างโปรแกรม ก่อนที่จะสร้างโปรแกรมจริงนั้น จะมีการทบทวนบทเรียน เพื่อประหยัดเวลาในการแก้ไขโปรแกรมภายหลัง นอกจากทีมงานทบทวนด้วยตนเองแล้วยังให้ครูผู้สอนช่วยในการทบทวนการออกแบบด้วย</div><p><span style="color:#9999ff;">3) ขั้นตอนการประเมินผลและแก้ไขบทเรียน (Development and Evaluation)</span> </p><div>3.1) การสร้างโปรแกรมขั้นแรก การสร้างโปรแกรมขั้นแรกเป็นการสร้างหน้าจอ และลำดับของหน้าจอตามการออกแบบที่ทำไว้ หลังจากนั้นมีการพัฒนาการนำเสนอบนหน้าจอและรายละเอียดต่างๆ </div><p>3.2) การทดสอบการใช้บทเรียน หลังจากมีการสร้างโปรแกรมขั้นแรกแล้ว จะมีการทดสอบการใช้บทเรียนกับผู้เรียนที่เป็นประชากรในกลุ่มเป้าหมายและเก็บข้อมูลสำคัญในการทดสอบ เช่น คะแนนสอบ ทัศนคติของผู้เรียนและผู้สอน</p><div><span style="color:#ff0000;">องค์ประกอบของการผลิตสื่อการสอนที่มีคุณภาพ<br /></span>องค์ประกอบของการผลิตสื่อการสอนที่มีคุณภาพ ถ้าพูดในแง่ของบุคลากร จะประกอบด้วย<br /><span style="color:#ffcc33;">1. Subject matter expert (SME</span>) หรือ Content expert เป็นบุคคลที่เป็นเจ้าของเนื้อหา เช่น ครู อาจารย์ หรือ เจ้าหน้าที่ในหน่วยต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาที่ตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่<br /><br /><span style="color:#ffcc33;">2. Graphic designer</span> เป็นบุคคลที่สร้างสื่อประสม เช่น ภาพ รูปวาด ไดอะแกรม เสียง เพลง ภาพยนตร์ แอนิเมชั่น เป็นต้น ในมุมมองที่ Content expert ต้องกา</div><p><span style="color:#ffcc33;">3. Instructional designer</span> เป็นบุคคลที่ออกแบบคำสอนว่า ควรจะสื่อให้ผู้เรียนเข้าใจได้อย่างไร ในรูปแบบใด</p><div><span style="color:#ffcc66;">4. Computer programmer</span> เป็นบุคคลที่เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อร้อยเนื้อหาของ Content expert และสื่อประสมต่างๆ ของ Graphic designer เข้าด้วยกัน ให้อยู่ในรูปแบบการนำเสนอของ Instructional designer<br />ในปัจจุบัน เนื่องจากมีโปรแกรมสร้างสื่อการสอนที่สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น ดังนั้น Content expert อาจเรียนรู้เป็น Computer programmer ได้ไม่ยากนัก และมักจะสอนมานานจึงมีความสามารถในการออกแบบคำสอนได้พอสมควร จึงพอจะอนุโลมว่าสามารถเป็น Instructional designer ได้ในตัว แต่มักพบว่าการเป็น Graphic designer จะกระทำได้ยากเนื่องจากศิลปการทำกราฟิกส์หรือมัลติมีเดียนั้น ต้องการความเป็นศิลปส่วนบุคคลซึ่งเรียนรู้ได้ยากกว่าความเป็นศาสตร์ที่ Content expert รู้อยู่แล้ว รวมทั้งการเขียนโปรแกรมและการออกแบบคำสอน<br />ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าปัจจัยความสำเร็จของการสร้างสื่อการสอนที่มีคุณภาพ จึงอยู่ที่ความสามารถในการสื่อสารระหว่างบุคลากรทั้ง 4 ประเภทดังกล่าวข้างต้น ให้เข้าใจเนื้อหาและวัตถุประสงค์ตรงกัน และทำงานร่วมกันอย่างผสมกลมกลืนกัน</div><br /><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5366719730162900994" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 428px; CURSOR: hand; HEIGHT: 16px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5FM3W0QzPFp8YKhOp5CihBE8813NYOEvANlAHuTB3zT3pBQ7tfH0QM1CRcup1DMXv6GpOPmyYPd_JnA4KT0Fn19JTPb8R7azqtk_ZZB_sLirRZKtZ0QAtm-D04RT62Sz6Qlohk_doJR4/s320/kapook_43509.gif" border="0" />ที่มา:<a href="http://gotoknow.org/blog/edutech/5693"><span style="color:#ccffff;">http://gotoknow.org/blog/edutech/5693</span></a></p><p><a href="http://supanida-opal.blogspot.com/2007/05/blog-post_2592.html"><span style="color:#ccffff;">http://supanida-opal.blogspot.com/2007/05/blog-post_2592.html</span></a> </p><p><br /> </p></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div><br /><p align="center"><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.blogger.com/video.g?token=AD6v5dxIxGZr3XOWBmok9RWD5-f1U6vypkrXZrAG4Hg9R5ZN3tDmJr0dYqyeDRa7CjCOPFbi8UACU1yrYWxVFflBEg' class='b-hbp-video b-uploaded' frameborder='0'></iframe></p>NiicHiiZhttp://www.blogger.com/profile/12328744447792380326noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1105535509957941050.post-9015895689109429022009-08-05T06:48:00.000-07:002009-08-05T07:57:10.595-07:00แนวคิดทางการสื่อสาร<div><div><div><div><div><div><div><div><div><div><div><div><div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5366488110710332290" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 281px; CURSOR: hand; HEIGHT: 204px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbhHgPsyOK20sFAJskh55EXhM3hjN1aNVDoUsc_5OdxYCO7op46Vr3Pt5nj4jH9YYtYoGAh6r1pfpTMVpnT8-sAVi6q-avcAhPI5Fgpc1KeFyEP2L9-fntkSTeosFnSB1YfbzMZDASbO4/s320/581830.jpg" border="0" /><br /><div><div><div><div><div><div align="left"><span style="color:#ff6666;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsX7FGEtSYsNgc7W-AQaBrktc9MLSdtoWIAcWG2K9TMo7PbggBVy85K44Tf2ljtxJQSeQjUUXmLhV5mZIcuKH7zpEyt6_MaJGrh_DhlOKAD9Xux5YdkiMcy9Lnp3rmYeF_fdW7aRWvbq8/s1600-h/63.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5366488390713097634" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 48px; CURSOR: hand; HEIGHT: 68px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsX7FGEtSYsNgc7W-AQaBrktc9MLSdtoWIAcWG2K9TMo7PbggBVy85K44Tf2ljtxJQSeQjUUXmLhV5mZIcuKH7zpEyt6_MaJGrh_DhlOKAD9Xux5YdkiMcy9Lnp3rmYeF_fdW7aRWvbq8/s320/63.gif" border="0" /></a>สาระสำคัญ<br /></span>1. ความหมายและองค์ประกอบของการสื่อสาร<br />2. บริบทและองค์ประกอบของสาธารณะ</div><br /><div>----------------------------------------------------<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVA9EEydBOjEC0vmkdHIEx6drwuweH0zhX_ySinVFkzlEP7kM2CuRxDvTygsC68IOsZf4rW4VlXDnsMdmiug5ruxAWXYRSQn2-TJz6lvgO68ea6A3objs0fv3QUhndD_IdVB6n3MmCMTA/s1600-h/19.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5366490815356202306" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 48px; CURSOR: hand; HEIGHT: 77px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVA9EEydBOjEC0vmkdHIEx6drwuweH0zhX_ySinVFkzlEP7kM2CuRxDvTygsC68IOsZf4rW4VlXDnsMdmiug5ruxAWXYRSQn2-TJz6lvgO68ea6A3objs0fv3QUhndD_IdVB6n3MmCMTA/s320/19.gif" border="0" /></a><br /><span style="color:#cc66cc;"><span style="font-size:130%;">ความหมาย Communication</span><br /></span><br />มาจากภาษาลาตินว่า Communis ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า Common แปลว่า ความร่วมมือกันหรือความคล้ายคลึงกัน การสื่อสารจึงหมายถึง<br /><br />“การกระทำของคนเราที่มุ่งสร้างความร่วมมือกันหรือคล้ายคลึงกัน นั่นคือการพยายามแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความคิดและทัศนคติซึ่งกันและกัน โดยอาศัยความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเป็นที่ตั้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน”Wilbur Schramm<br /><br />“การสื่อสารคือกระบวนการแลกเปลี่ยนข่าวสารเกิดขึ้นโดยการถ่ายทอดสารจากบุคคลฝ่ายหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ส่งสารผ่านสื่อหรือช่องทางต่าง ๆ ไปยังผู้รับสารโดยมี วัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง” สุมน อยู่สิน<br /><br /><br /><span style="color:#66ffff;">องค์ประกอบการสื่อสาร</span><br />SIMMCREFI<br />องค์ประกอบ 9 ประการ ในการนำเสนอด้วยสื่อใดๆ<br /><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">S</span>= source (sender) แหล่งที่ส่งสารออกไป อาจเป็นบุคคล, องค์กรก็ได้<br /><span style="color:#ff0000;">I</span>= information ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นสิ่งที่หยิบฉวยเอาได้ทั่วไป อาจเป็นข้อความ ภาพ วิดีโอ เสียง สัญลักษณ์ ลีลา อารมณ์ เวลา (infotime)<br /><span style="color:#ff0000;">M</span>= message สิ่งที่ผ่านการกลั่นกรองแล้ว เพื่อนำเสนอ อาจเป็น ข้อความ (text), ภาพ (image), ภาพเคลื่อนไหว (Video & animation), เสียง (wave, midi, voice), multimedia, สัญลักษณ์, ลีลา, อารมณ์, เวลา<br /><span style="color:#ff0000;">M</span>= media สื่อ (สิ่งที่บรรจุด้วย message) = message จะถูกนำไปวางใน media = media คือที่อยู่ของ message ตัวอย่างสื่อ เช่น เทป, แผ่นซีดี, flash drive, harddisk, ฟิล์มสไลด์, คลื่นแม่เหล็ก, คลื่นไฟฟ้า (digital), คลื่นเสียง (radio), คลื่นอารมณ์ (โกรธ เกลียด พยาบาท รัก ชอบ-พอใจ เฉยๆ), ช่วงเวลา<br /><span style="color:#ff0000;">C</span>= channelช่องทาง หรือพาหะ พาสื่อ (media) จากแหล่งต้นทาง ไปยังผู้รับ อาจผ่านอุปสรรคต่างๆ (noise) ทำให้ผู้รับ รับสารได้ไม่ดี ต้องกำจัด noise หรือ ส่งข้อมูลซ้ำ เพิ่มความแรง ความถี่ ในการส่ง ฯลฯ<br /><span style="color:#ff0000;">R</span>= recieverผู้รับสาร มี 5 กลุ่ม * Initiator กลุ่มผู้แนะนำ-ชักชวน (เพื่อนบ้าน เพื่อสนิท ญาติ)* Influence กลุ่มผู้มีอิทธิพลในการเลือกรับฟัง-รับชม (ครู พ่อ แม่ พระ หมอดู แฟน)* Decision Maker กลุ่มผู้ตัดสินใจเลือกข่าวสาร (คนซื้อ นสพ./ซีดี คนหยิบแผ่นใส่เครื่องอ่าน คนเลือกสถานี)*Buyer กลุ่มผู้จ่ายค่าบริการ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าซื้อ tv ค่าเช่าซีดี*Consumer กลุ่มผู้รับรู้-บริโภค (คนอ่าน/คนดู/คนฟัง)<br />กลุ่มเป้าหมายผู้รับสาร ที่ควรรู้ แบ่งตามประเทภ*Demographic Background ชื่อ อายุ ที่อยู่ ที่ติดต่อ อาชีพ ฯลฯ*Psychographic Background ชอบ ไม่ชอบ ความคิด วิสัยทัศน์ อุดมการณ์*Media Usage พฤติกรรมการเปิดรับสื่อ (อยากรับ เวลาใด อารมณ์ใด โอกาสใด จำนวนครั้ง)*Consumer Behavior พฤติกรรมการบริโภค (บ่อย นานๆครั้ง ประจำ เพิ่งครั้งแรก ครั้งสุดท้าย)<br /><span style="color:#ff0000;">E</span>= effectพฤติกรรมการรับรู้ ยอมรับ รู้จัก ของผู้รับสาร<br /><span style="color:#ff0000;">F</span>= feedbackพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเปลี่ยนแปลงความรู้ Knowledgeเปลี่ยนแปลงทัศนคติ Attitudeเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Practice)<br /><span style="color:#ff0000;">I</span>= interactionพฤติกรรมตอบรับ two-way communication</div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-iicwZZJs9tukISnQHe99b4Je7yv6_Sla2AYyo1mhpzgCSgEudCv5lW89MQAU3OTUTZmyUzYXqvpF5g8hn8bYFP0qzPUmriXOY-h7DqPWNVuMZW9pup0l74eZ5kmHXzD4V_N0XlCuQqo/s1600-h/88.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5366491810193657250" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 130px; CURSOR: hand; HEIGHT: 120px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-iicwZZJs9tukISnQHe99b4Je7yv6_Sla2AYyo1mhpzgCSgEudCv5lW89MQAU3OTUTZmyUzYXqvpF5g8hn8bYFP0qzPUmriXOY-h7DqPWNVuMZW9pup0l74eZ5kmHXzD4V_N0XlCuQqo/s320/88.gif" border="0" /></a><br /><br /><div><span style="font-size:130%;color:#33ff33;">ประเภทการสื่อสาร</span></div><span style="font-size:130%;color:#33ff33;"></span><br /><br /><div><span style="color:#6666cc;">*การสื่อสารภายในบุคคล</span> Intrapersonnal Communication<br />บุคคลคนเดียวทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ส่งสารและผู้รับสาร จึงเป็นพื้นฐานของการสื่อสารประเภทอื่น<br /><br /><span style="color:#9999ff;">*</span><span style="color:#6666cc;">การสื่อสารระหว่างบุคคล</span> Interpersonnal Communication<br />เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไปทำการแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกัน<br />การสื่อสารกลุ่มย่อย<br />Small-Group Communication<br /><br /><span style="color:#6666cc;">*การสื่อสารระหว่างบุคคลกลุ่มเล็ก</span> โดยจะมีจำนวนเท่าไรไม่มีกำหนดแน่นอนตายตัวที่อาจมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน เช่น การเรียนในห้องเรียน การประชุม การพบประสังสรรค์<br /><br /><span style="color:#6666cc;">*การสื่อสารสาธารณะ</span> Public Communication การสื่อสารกับกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น การพูดในห้องประชุมขนาดใหญ่ การปราศรัยหาเสียงของนักการเมือง หรือการพูดในที่ชุมนุมชน<br /><br /><span style="color:#6666cc;">*การสื่อสารมวลชน</span> การสื่อสารที่มีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ทั้ง ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ผู้ส่งสารจะมีลักษณะเป็นองค์กรที่มีการทำงานอย่างเป็นระบบ เช่น สำนักงานหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีวิทยุโทรทัศน์<br /><br /><span style="font-size:180%;"><span style="color:#cc33cc;"><span style="font-size:130%;">ความสำคัญของการสื่อสาร</span> </span></span></div><div><em><span style="color:#00cccc;"></span></em> </div><div><em><span style="color:#00cccc;">*</span></em><em><span style="color:#00cccc;">ความสำคัญของการสื่อสารที่มีต่อสังคม<br /></span><span style="color:#00cccc;">*ความสำคัญต่อการดำรงชีวิต</span></em><br />คนเราไม่ว่าจะอาศัยอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตามสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยอาศัยสื่อ<br /><em><span style="color:#00cccc;">*ความสำคัญต่อการเมืองและการปกครองประเทศ</span><br /></em>ในการกำหนดนโยบายหรือการดำเนินการใด ๆ ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับประชาชน รัฐบาลต้องสร้าง </div><div>ความเข้าใจกับประชาชนโดยใช้สื่อ<br /><em><span style="color:#00cccc;">*ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ</span></em><br />การสื่อสารช่วยสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนและนักลงทุนหรือผู้ประกอบการ หรือส่งเสริม</div><div>การตลาด และการโฆษณาสินค้า เช่น อธิบายประโยชน์ของโรงงาน อุตสาหกรรมที่จะนำมาสร้างใน</div><div>ชุมชน<br /><span style="color:#00cccc;"><em>*ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน</em><br /></span>การสื่อสารช่วยพัฒนาความรู้ให้กว้างขวาง ให้การศึกษาแก่ประชาชนทั้งในระบบและนอกระบบ</div><div>โรงเรียน ทำให้เข้าใจบทบาทและสถานภาพที่แตกต่างกันของบุคคลอื่นในสังคม<br /><br /><span style="color:#009900;"><span style="font-size:130%;">หน้าที่ของการสื่อสาร</span><br /></span><br />1. หน้าที่โดยชัดแจ้ง (manifest function)<br />การสื่อสารสามารถทำหน้าที่ได้ตามผลที่ผู้ส่งสารคาดหวังเอาไว้<br />2. หน้าที่แฝงหรือซ่อนเร้น (latent function)<br />การสื่อสารทำหน้าที่ในทางที่ไม่คาดหวังตามผลที่ผู้ส่งสารคาดหวังเอาไว้<br /><br />หน้าที่ของสื่อสารมวลชนต่อสังคม<br /><br />1. หน้าที่เสนอข่าวสาร เป็นการเสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาไม่มีการแทรกความเห็นหรือแปลความหมายของข่าวสารแต่อย่างใด<br />2. หน้าที่เสนอความเห็น เป็นการให้คำอธิบายความหมายเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือ ข้อเท็จจริงเพื่อผู้รับสารเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ทัศนคติ หรือพฤติกรรม<br />3. หน้าที่บริการด้านการศึกษา มุ่งเสนอข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เป็นประโยชน์เพื่อช่วยในการตัดสินใจและดำเนินชีวิตประจำวันแก่ประชาชน<br />4. หน้าที่ให้บริการบันเทิง มุ่งเร้าอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าที่จะเสริมสร้างความคิดและเปลี่ยนพฤติกรรมของคน<br /><span style="font-size:130%;"><br /><span style="color:#ffff00;">บริบทและองค์ประกอบของสาธารณะ</span></span><br />1. ทุน และ ทรัพยากร<br />1.1 ทรัพยากรวัตถุ และธรรมชาติ<br />-วัตถุดิบ-บริสุทธิ์ (raw material)-วัตถุดิบ-เวียนใหม่ (recycle material และรวมถึง reject, reuse, reform)-วัตถุแปรรูป (modify material) -วัตถุสำเร็จรูป (commodity)-วัตถุที่มีสิทธิครอบครองได้โดยธรรมชาติ (แผ่นดิน, อากาศ, แสงแดด, น้ำตามแหล่งธรรมชาติ) **มี “ค่า” สูง แต่มี “ราคา” ต่ำ**-วัตถุที่มีลิขสิทธิ์ หรือมีสิทธิครอบครองตามที่กฎหมายกำหนด **มี “ราคา” สูง แต่มี “ค่า” ต่ำ**<br />** การวัด “ค่า” ขึ้นอยู่กับ 5t (true, trust, taste, tangible, test)** “ราคา” ขึ้นอยู่กับ ปริมาณความต้องการอยากตอบสนองสิ่งเร้า ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งมีหน่วยการวัดที่สังคมยอมรับ<br />1.2 ทรัพยากรบุคคล และทุนทางสังคม<br />-คน-ระบบ-สังคม สิ่งแวดล้อม-สุขภาวะ (กาย จิต จิตวิญญาณ สังคม-สาธารณโภคี (ระบบประกันคุณภาพ และสวัสดิการ)<br />1.3 ทรัพยากรเวลา และความรัก<br />1.4 ทรัพยากรการสื่อสาร<br />-ระบบจำลองการสื่อสาร SMCR-สื่อ และสื่อสารมวลชน-องค์ประกอบและคุณสมบัติ (place, position, time, quality message, access & connect, attention, motion)<br />2. การใช้อำนาจ และการตอบสนองต่อการใช้อำนาจ<br />2.1 ระบบธนาธิปไตย<br />2.2 ระบบประชาธิปไตย<br />2.3 ระบบอัตตาธิปไตย<br />2.4 ระบบธรรมาธิปไตย<br /></div><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhe8Gyii1CuFbrd8CkZaV-ay5vMOAXSin4WqR-1yPbDmk8zHfEnXiIF4mOszEeSm2D9WLLuJQS-Sw9EGQuj0GH99qcKNDzuj_QwnVOUJ7eKDONQaTAP4FfQA8PRCj52TJYT-BKEP5jhsGg/s1600-h/Hang23.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5366492810190865634" style="WIDTH: 55px; CURSOR: hand; HEIGHT: 180px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhe8Gyii1CuFbrd8CkZaV-ay5vMOAXSin4WqR-1yPbDmk8zHfEnXiIF4mOszEeSm2D9WLLuJQS-Sw9EGQuj0GH99qcKNDzuj_QwnVOUJ7eKDONQaTAP4FfQA8PRCj52TJYT-BKEP5jhsGg/s320/Hang23.gif" border="0" /></a></p><div><br /><span style="font-size:130%;color:#999900;">แนวคิด ทฤษฎี ด้านการสื่อสาร และสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับนิเทศศาสตร์สาธารณะ</span><br /><br />ทฤษฎีสื่อสารมวลชน Theories of the Press<br />ทฤษฎีว่าด้วยองค์ประกอบของการสื่อสาร Theory Component in Communication<br />ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล Individual Differences Theory<br />ทฤษฎีการแบ่งกลุ่มทางสังคม Social Categories Theory<br />ทฤษฎีการสื่อสารแบบสองขั้นตอน Two-Step Flow of Communication Theory<br />ทฤษฎีสารสนเทศ Information Theory<br /><br />ผู้นำความคิดเห็น Opinion Leaders or Influentials<br />การกำหนดประเด็นการรับรู้ข่าวสาร Agenda Setting<br />ทฤษฎีการสื่อสารในองค์กร Organizational Communication<br />ผู้เฝ้าประตูข่าวสาร Gatekeeper<br />การเซ็นเซอร์ Censorship<br /><br />การวิเคราะห์ผู้รับสาร General Concept of Audience Analysis<br />การวิเคราะห์ผู้รับสารกับการรับรู้ Audience Analysis and Perception<br />การรณรงค์เพื่อการสื่อสารประเด็นสาธารณะ Public Communication Campaign<br />การสื่อสารสาธารณะ<br />การสื่อสารระหว่างบุคคล Interpersonal Communication<br />การสื่อสารทางการเมือง Political Communication<br />การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม Intercultural Communication<br />การเลือกรับรู้ Selective Perception<br />การเลือกเปิดรับ Selective Exposure<br />การเลือกจดจำ Selective Retention<br /><br />การผลิตข่าว News Production<br />การรายงานข่าวและการนำเสนอข่าว News Reporting<br />การบรรณาธิกรณ์ข่าว<br /><br />การผลิตรายการวิทยุ Radio Production<br />การผลิตรายการโทรทัศน์ TV Production<br /><br />แนวคิดด้านการประชาสัมพันธ์ Public Relations<br />การเผยแพร่ Publicity<br />ภาพลักษณ์ Image<br />การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด Marketing Public Relations<br /><br />แนวคิดด้านการโฆษณาAdvertising<br />ทฤษฎีสัญญะวิทยา<br /><br />การชักจูงใจ Persuasion<br />ผลของการเรียนรู้ Learning Effect<br />การเรียนรู้ทางสังคม Social Learning<br />การเปลี่ยนค่านิยม Value Change<br />ความเข้าใจ Understanding<br />ทัศนคติ Attitude<br /><br />กระบวนการยอมรับสิ่งใหม่ Adoption Process<br />รูปแบบการดำเนินชีวิต Lifestyle<br />ทฤษฎีเกี่ยวกับบุคลิกภาพ Theory of Personality<br /><br />แนวคิดเกี่ยวกับการตลาด Marketing<br />การสื่อสารการตลาด Marketing Communication<br />การสื่อสารการตลาดแบบผสมผสาน Integrated Marketing Communication<br /><br />ความหมายทางทฤษฎี<br /><br />ทฤษฎี ประกอบด้วยสาระพื้นฐาน 2 ประการ คือ<br />แนวคิดและข้อความที่สัมพันธ์กับแนวคิดนั้น และทฤษฎีย่อมประกอบด้วยแนวคิดอย่างน้อยที่สุด 2 แนวคิด และข้อความที่อธิบายหรือคาดการณ์ล่วงหน้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดนั้น<br />แนวคิด บรรยายถึงจุดม่งหมายและหน้าที่<br /><br />ทฤษฎี (Theory) คือ ข้อความ หรือข้อสรุปซึ่งปรากฎอยู่ในรูปประโยคเชิงเหตุผล เพื่อการบรรยาย อธิบาย หรือทำนายปรากฎการณ์ หรือเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์ ภายใต้บริบทใดบริบทหนึ่ง หรือหลากหลายบริบท<br />โดยทั่วไปแล้ว ข้อความ หรือ ข้อสรุปที่นำเสนอในทฤษฎี ประกอบด้วย<br />1. ประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์หนึ่งๆ<br />2. คำนิยาม หรือคำอธิบายความหมายของประเด็นต่างๆเหล่านั้น<br />3. หลักการ ข้อเท็จจริง และสมมติฐานเกี่ยวกับปรากฎการณ์ในด้านต่างๆอย่างเป็นระบบ เช่น สาเหตุในการเกิดปรากฎการณ์ ขั้นตอนการเกิดปรากฎการณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นต่างๆในเชิงเหตุผล ตลอดจนข้อตกลงเบื้องต้นในการศึกษาปรากฎการณ์<br /><br />แนวคิด (Concept) คือข้อสรุป ที่บุคคลใช้ในการอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆที่ตนสามารถสังเกตเห็นโดยตรง หรืออาจรับรู้ทางอ้อมผ่านการถ่ายทอด การบอกเล่า คำอธิบายของผู้อื่น<br />ประเภทของแนวคิด<br />1. แนวคิดเชิงรูปธรรม เป็นแนวคิดที่เราสามารถระบุคำนิยามศัพท์เกี่ยวกับองค์ประกอบต่างๆของแนวคิดได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในรูปของการสังเกต การวัด หรือการประเมินผล<br />2. แนวคิดเชิงนามธรรม เป็นแนวคิดที่เราไม่ได้ระบุคำนิยามศัพท์ในเชิงการสังเกต การวัด หรือการประเมินผล ไว้อย่างชัดเจน<br /><br /><br />-------------------------------------------------------------------------</div><br /><div><span style="color:#3333ff;">ที่มา www.krirk.ac.th/.../Communication.../communications/.../public_communication.doc -</span><br /></div><p align="center"><br /><br /><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='320' height='266' src='https://www.blogger.com/video.g?token=AD6v5dynKtbJL92kTuyTiICyccN6AZQJBI3MgUFCGphGGDCh8RyZwDRuFQYSGgoXIRpeIOS_lnfuOFg_PjBMBOmV4w' class='b-hbp-video b-uploaded' frameborder='0'></iframe><br /></p></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div></div>NiicHiiZhttp://www.blogger.com/profile/12328744447792380326noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1105535509957941050.post-86138440285763022642009-08-04T02:52:00.000-07:002009-08-04T04:27:24.271-07:00สัปดาห์ที่10 บันทึกแนวคิดการสื่อสาร<div align="left">MC 111 สรุปทฤษฎีการสื่อสาร<br />บทที่ 1การสื่อสาร<br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6600;"><strong>คำนำ</strong></span> ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้วมนุษย์จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการสื่อสารตั้งแต่เกิดจนตาย ในสมัยก่อนการติดต่อสื่อสารจะใช้อาณัติสัญญาณต่างๆ อาทิเช่น เสียงกลอง ควันไฟ ฯลฯ ต่อมาการติดต่อสื่อสารได้เปลี่ยนเป็นการเขียนภาพไว้ตามผนังถ้ำ เช่น ภาพครอบครัว ภาพการล่าสัตว์ แล้วพัฒนาต่อไปเป็นการประดิษฐ์ ตัวอักษรขึ้นมาใช้ การติดต่อสื่อสารหรือสื่อความหมายก็ใช้ในลักษณะการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งลักษณะหลังนี้ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีทางการสื่อสารที่ได้รับการพัฒนาอย่างมาก จึงทำให้การติดต่อสื่อสารของมนุษย์เป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว กว้างขวาง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนถึงขั้นที่อาจจะกล่าวได้ว่า สังคมเราทุกวันนี้เป็นสังคมของข้อมูลข่าวสาร (Information Society) นั่นก็คือ ข่าวสารต่างๆ เข้ามามีส่วนสำคัญหรือมีบทบาทในการดำรงชีวิตของมนุษย์เกือบทุกรูปแบบนั่นเองในวันหนึ่งๆ จะมีการสื่อสารเกิดขึ้นมาเกือบทุกรูปแบบ ตัวอย่างเช่น การสื่อสารภายในตัวบุคคลจะเกิดขึ้นเมื่อเรานอนหลับแล้วฝันหรือละเมอ การสื่อสารระหว่างบุคคลจะเกิดขึ้นเมื่อเราพูดคุยกับคนใดคนหนึ่ง การสื่อสารมวลชนจะเกิดขึ้นเมื่อเราอ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรือการสื่อสารกลุ่มใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อเราฟังบรรยายในห้องเรียน เป็นต้น ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกคน จะต้องพบกับกระบวนการสื่อสารเหล่านี้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทหรือสถานภาพแบบใดก็ตาม เพราะฉะนั้น ตราบใดก็ตามที่มนุษย์จำเป็นจะต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม การติดต่อสื่อสารย่อมต้องมีความจำเป็นอย่างแน่นอน ทั้งนี้เพื่อสร้างความเป็นระเบียบในการอยู่ร่วมกัน สร้างความเข้าใจ ความช่วยเหลือ และความสามัคคี เป็นต้น<br /><span style="font-size:130%;color:#9999ff;">โดยทั่วไปภาษาที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารจะมี 2 ประเภท</span> คือ</div><div align="left">1. ภาษาที่ใช้คำพูดหรือวัจนภาษา เช่น ภาษาพูด หรือภาษาเขียน</div><div align="left">2. ภาษาที่ไม่ใช้คำพูดหรืออวัจนภาษา เช่น สัญลักษณ์ สัญญาณ หรืออากัปกิริยาต่างๆ เช่น การยิ้ม การขมวดคิ้ว การโบกมือ การหาว การส่งเสียงโห่ร้อง เป็นต้น </div><div align="left">ในหลักการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารเชิงวัจนภาษาหรือเชิงอวัจนภาษาก็ตาม การสื่อสารจะสัมฤทธิ์ผลได้ก็ต่อเมื่อ การสื่อสารนั้นเป็นที่เข้าใจระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารเป็นสำคัญ </div><div align="left"><span style="font-size:180%;color:#ff0000;"><strong>ความหมาย</strong></span></div><div align="left">"การสื่อสาร" ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า "Communication" ซึ่งได้มีผู้ให้ความหมายไว้ต่างๆ กัน ดังนี้</div><div align="left">- <span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">จอร์จ เอ มิลเลอร์</span> (George A. Miller) กล่าวว่า "การสื่อสาร หมายถึง การถ่ายทอดข่าวสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง"</div><div align="left"><span style="color:#cc33cc;">- คาร์ล ไอ โฮฟแลนด์</span> (Carl I. Hoveland) และคณะให้ความเห็นว่า "การสื่อสาร คือ กระบวนการที่บุคคลหนึ่ง (ผู้ส่งสาร) ส่งสิ่งเร้า (ภาษาพูดหรือ ภาษาเขียน) เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคลอื่นๆ (ผู้รับสาร)"</div><div align="left"><span style="color:#cc33cc;">- วอร์เรน ดับเบิลยู วีเวอร์</span> (Warren W. Weaver) ให้คำอธิบายเกี่ยวกับการสื่อสารว่า "การสื่อสารมีความหมายกว้าง ครอบคลุมถึงกระบวนการทุกอย่างที่จิตใจของคนๆ หนึ่งอาจมีผลต่อจิตใจของคนอีกคนหนึ่ง การสื่อสารจึงไม่หมายความแต่เพียงการเขียนและการพูดเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงดนตรี ภาพ การแสดง บัลเล่ต์ และพฤติกรรมทุกพฤติกรรมของมนุษย์อีกด้วย</div><div align="left">-<span style="color:#cc33cc;"> เจอร์เกน รอยซ์ และ เกรกอรี เบทสัน</span> (Jurgen Ruesch and Gregory Bateson) ให้ความเห็นว่า "การสื่อสารไม่ได้หมายถึงการถ่ายทอดสารด้วยภาษาพูด ภาษาเขียนที่ชัดแจ้ง และแสดงเจตนารมณ์เท่านั้น แต่การสื่อสารยังรวมไปถึงกระบวนการทั้งหลายที่คนมีอิทธิพลต่อกันด้วย"</div><div align="left">- วิลเบอร์ ชแรมม์ (Wilbur Schramm) กล่าวว่า "การสื่อสาร คือ การมีความเข้าใจร่วมกันต่อเครื่องหมายที่แสดงข่าวสาร (Information Signs)"</div><div align="left">- <span style="color:#cc33cc;">ชาร์ลส์ อี ออสกูด</span> (Charles E. Osgood) กล่าวว่า "ความหมายโดยทั่วไป การสื่อสารจะเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งคือผู้ส่งสารมีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายหนึ่งคือผู้รับสาร โดยใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งถูกส่งผ่านสื่อที่เชื่อมระหว่างสองฝ่าย"</div><div align="left">- <span style="color:#cc33cc;">เอเวอเรตต์ เอ็ม โรเจอร์ส และ เอฟ ฟลอยด์ ชูเมคเกอร์</span> (Everett M. Rogers and F. Floyd Shoemaker) ให้ความหมายว่า "การสื่อสาร คือ กระบวนการซึ่งสารถูกส่งจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร"</div><div align="left">- <span style="color:#cc33cc;">จอร์จ เกิร์บเนอร์</span> กล่าวว่า "การสื่อสาร คือ กระบวนการที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีปฏิสัมพันธ์กันในสภาพแวดล้อมทางสังคมเฉพาะ</div><div align="left"><span style="color:#999900;">" โดยสรุป "การสื่อสาร คือ</span> กระบวนการของการถ่ายทอดข่าวสาร (Message) จากบุคคลฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่า ผู้ส่งสาร (Source) ไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งที่เรียกว่า ผู้รับสาร (Receiver) โดยผ่านสื่อ (Channel)" การสื่อสารระหว่างมนุษย์นอกจากจะเป็นเพียงการส่งสารเพื่อก่อให้เกิดผลตามเจตนารมณ์ของผู้ส่งสารแล้ว ยังหมายความรวมไปถึง การรับสาร ปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback) และอันตรกิริยาด้วย อันตรกิริยาหรือ Interaction ก็คือ ปฏิกิริยาที่มีต่อกันระหว่างผู้สื่อสารทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายผู้ส่งสารกับฝ่ายผู้รับสาร ซึ่งปฏิกิริยาที่มีต่อกันนี้จะเป็นตัวนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจร่วมกันในเรื่องของความหมาย (Meaning) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายๆ อย่าง ดังนั้นการสื่อสารในความหมายนี้ก็คือ การสื่อสารแบบ 2 ทาง หรือ กระบวนการ </div><div align="left"><span style="font-size:180%;"><span style="color:#ff6666;"><strong>2 วิถี</strong></span></span> (Two - way Communication)การสื่อสารแบบ 2 ทาง หากเรานำไปเปรียบเทียบกับวงจรความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารแล้ว วงจรที่เกิดขึ้นจะเป็นแบบ 2 วงจร กล่าวคือ มีการโต้ตอบแลกเปลี่ยนความหมายที่มีอยู่ในสมองของบุคคล 2 คน แต่วงจรอันนี้อาจจะเกิดขึ้นเพียงวงจรเดียวก็ได้ ถ้าหากว่าผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีความสนิทสนมกันมากๆ จนถึงขั้นที่มองตาก็รู้ใจแล้ว เวลาทำการสื่อสารวงจรของการแลกเปลี่ยนความหมายที่มีอยู่ในสมอง อาจจะเกิดขึ้นเพียงวงจรเดียว ตัวอย่างเช่น สามีพูดกับภรรยาว่า "วันนี้ออกไปกินข้าวนอกบ้านกันเถอะ" ภรรยาก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่สามีพูดหมายถึงอะไรโดยไม่ต้องถามต่อ แต่ว่าอาจจะใช้อากัปกิริยาตอบกลับ เช่น ส่งสายตาในทำนองดีใจ และขอบคุณ หรือหอมแก้มสามี 1 ฟอด แสดงความขอบคุณ วงจรที่เกิดขึ้นจะมีแค่วงจรเดียว (วงจรของสามี) ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าภรรยาตอบกลับไปด้วยคำพูดว่า "เนื่องจากโอกาสพิเศษอะไรหรือพี่" สามีตอบกลับว่า "วันนี้พี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการ เราไปฉลองกันเถอะ" วงจรที่เกิดขึ้นจะกลายเป็น 2 วงจร จะถือว่ามีการสื่อสารเกิดขึ้นแล้วฉะนั้น การสื่อสารแบบวงจรเดียวจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับหรือ Interaction จึงเข้าข่ายความหมายโดยทั่วๆ ไปที่บอกว่า "การสื่อสาร คือ การถ่ายทอดข่าวสารจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง" </div><div align="left"><span style="font-size:180%;color:#ff6666;"><strong>ความสำคัญ</strong></span></div><div align="left">หากพิจารณาถึงความสำคัญของการสื่อสารที่มีต่อมนุษย์แล้วสามารถแบ่งได้เป็น 5 ประการ คือ</div><div align="left">1. ความสำคัญต่อความเป็นสังคม การที่มนุษย์จะอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นสังคมได้ จำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารเป็นพื้นฐาน เพราะการสื่อสารทำให้เกิดความเข้าใจ และทำความตกลงกันได้ มีการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างระเบียบของสังคมให้เป็นที่ยอมรับระหว่างสมาชิก ทั้งนี้เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเป็นสังคม</div><div align="left">2. ความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน การสื่อสารมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าตลอดเวลาที่เราตื่น เราจะทำการสื่อสารอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาเราหลับอยู่ หากเราฝันหรือละเมอเรื่องใดก็ตาม นั่นก็ถือว่าเป็นการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง คือ การสื่อสารภายในตัวบุคคล (Intrapersonal Communication)</div><div align="left">3. ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจปัจจุบันวงการอุตสาหกรรมมีการปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยีการผลิต ตลอดจนการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานทำให้ต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะโรงงานอุตสาหกรรมถือเป็นองค์กรหรือสถาบันหนึ่งที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและประชาชน โดยการสื่อสารที่นำมาใช้สร้างความสัมพันธ์กับบุคคลภายนอกองค์กร (ผู้บริโภค, ชุมชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ฯลฯ) ก็คือ "การประชาสัมพันธ์" ถือเป็นการสื่อสารที่ช่วยในการเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับองค์กร ลดปัญหาความขัดแย้ง และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบประชามติ หรือความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่มีต่อองค์กรได้อีกด้วย</div><div align="left">4. ความสำคัญต่อการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการปกครองในรูปแบบใดก็ตาม ย่อมจะต้องประกอบไปด้วยผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองหรือประชาชน ดังนั้นการปกครองจะเป็นไปอย่างราบรื่น หรือเป็นไปในทางที่ดีได้ ทั้งผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองจะต้องอาศัยการสื่อสารเข้ามาเป็นตัวช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมในระบอบประชาธิปไตย การสื่อสารจะเป็นตัวสะท้อนให้ผู้ปกครองทราบว่าผู้ถูกปกครองต้องการอะไร อยากให้ผู้ปกครองทำอะไร นั่นคือความสำคัญต่อการปกครอง </div><div align="left">5. ความสำคัญต่อการเมืองระหว่างประเทศ ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และนโยบายการเมืองระหว่างประเทศต่างๆ จำเป็นต้องอาศัยกระทรวงการต่างประเทศ และสถานทูตต่างๆ เข้ามารับผิดชอบทางด้านการสื่อสารโดยตรง เพื่อทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับประเทศของตน สร้างความเข้าใจอันดีกับประเทศอื่น ตลอดจนชักจูงใจให้ได้รับความสนับสนุนจากประเทศอื่น และยังสามารถศึกษาถึงความรู้สึกนึกคิดของประชาชนในประเทศนั้นที่มีต่อประเทศของตนได้อีกด้วย ทั้งนี้โดยอาศัยสื่อชนิดต่างๆ เช่น สถานีวิทยุ VOA หรือ Voice of America ของสหรัฐอเมริกา หรือ สถานีวิทยุ BBC ของประเทศอังกฤษ เป็นต้น </div><div align="left"><strong><span style="color:#00cccc;"><span style="font-size:180%;">+ วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร</span></span></strong></div><div align="left">ในกระบวนการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารในระดับใดก็ตาม ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารต่างก็มีวัตถุประสงค์ในการติดต่อสื่อสารที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้ เพราะฉะนั้นในการศึกษาเรื่องวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร เราจึงสามารถแยกออกได้เป็นวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารกับวัตถุประสงค์ของผู้รับสาร ถ้าวัตถุประสงค์ทั้ง 2 ฝ่ายเหมือนกัน หรือสอดคล้องกับผลของการสื่อสารในครั้งนั้นๆ จะสัมฤทธิ์ผลได้ง่าย ในทางตรงกันข้ามถ้าวัตถุประสงค์ของทั้ง 2 ฝ่ายไม่ตรงกัน ผู้รับสารอาจมีปฏิกิริยาต่อสารผิดไปจากความตั้งใจของผู้ส่งสารได้ ซึ่งจะทำให้การสื่อสารไม่บรรลุตามเป้าหมาย หรือตามเจตนารมณ์ของผู้ส่งสาร ทำให้การสื่อสารในครั้งนั้นๆ เกิดความล้มเหลว (Communication Breakdown)โดยปกติแล้วสามารถจะสรุปได้ว่าผู้ส่งสารและผู้รับสารมีวัตถุประสงค์ในการสื่อสาร ดังต่อไปนี้<span style="color:#33ff33;"> </span></div><div align="left"><span style="color:#33ff33;"><span style="font-size:130%;">วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร</span></span></div><div align="left">ในการทำการสื่อสารแต่ละครั้ง ผู้ส่งสารจะมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้</div><div align="left">1. เพื่อแจ้งให้ทราบ (Inform) หมายความว่า ในการทำการสื่อสารนั้นผู้ส่งสารมีความต้องการที่จะบอกกล่าวหรือชี้แจงข่าวสาร เรื่องราว เหตุการณ์ ข้อมูล หรือสิ่งอื่นใดให้ผู้รับสารได้รับสาร หรือเกิดความเข้าใจโดยอาจผ่านทางสื่อมวลชน หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่งลงตีพิมพ์ข่าวสารเพื่อรายงานข่าวและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นประจำวันไปให้ประชาชนได้รับทราบ เป็นต้น</div><div align="left">2. เพื่อสอนหรือให้การศึกษา (Teach or Educate) หมายความว่า ผู้ส่งสารมีความต้องการที่จะสอนวิชาความรู้ หรือเรื่องราวที่เป็นวิชาการให้ผู้รับสารได้รับความรู้เพิ่มเติมจากเดิม เช่น วารสารเพื่อสุขภาพอนามัยก็จะมีการลงตีพิมพ์บทความต่างๆ ที่เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพอนามัยให้แข็งแรง ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคภัยต่างๆ อาการที่เกิดขึ้นหรือวิธีการป้องกัน เป็นต้น</div><div align="left">3. เพื่อสร้างความพอใจ หรือให้ความบันเทิง (Please or Entertain) หมายความว่า ในการสื่อสารนั้น ผู้ส่งสารมีความต้องการที่จะทำให้ผู้รับสารเกิดความรื่นเริงบันเทิงใจจากสารที่ตนเองส่งออกไป ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของการพูด การเขียน หรือการแสดงกิริยาท่าทาง ตัวอย่างเช่น นวนิยาย เพลง ละคร เกมโชว์ การแสดงคอนเสิร์ต เป็นต้น</div><div align="left">4. เพื่อเสนอแนะหรือชักจูงใจ (Propose or Persuade) หมายความว่า ผู้ส่งสารได้เสนอแนะสิ่งใดสิ่งหนึ่งต่อผู้รับสาร และมีความต้องการชักจูงให้ผู้รับสารมีความคิดคล้อยตาม หรือยอมรับปฏิบัติตามการเสนอแนะของตน ตัวอย่างเช่น การโฆษณาสินค้าทางหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือทางโทรทัศน์ เป็นต้นส่วนใหญ่แล้วในกระบวนการสื่อสารมวลชนเราจะเห็นได้ว่า ผู้ส่งสารหรือตัวองค์กรสื่อต่างก็ดำเนินการโดยมีวัตถุประสงค์ครบทั้ง 4 อย่างข้างต้น </div><div align="left"><span style="color:#33ff33;">วัตถุประสงค์ของผู้รับสาร</span></div><div align="left">โดยทั่วไปผู้รับสารจะมีวัตถุประสงค์หลักๆ ในการทำการสื่อสาร ดังนี้</div><div align="left">1. เพื่อทราบ (Understand) ในการเข้าร่วมกิจกรรมทางการสื่อสารนั้น ผู้รับสารมีความต้องการที่จะทราบเรื่องราว ข้อมูล ข่าวสาร เหตุการณ์ หรือสิ่งอื่นๆ ที่มีผู้แจ้ง หรือรายงาน หรือชี้แจงให้ทราบ</div><div align="left">2. เพื่อเรียนรู้ (Learn) หมายถึง การแสวงหาความรู้ของผู้รับสารจากสารที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับวิชาความรู้ และวิชาการ อันเป็นการหาความรู้เพิ่มเติม และเป็นการทำความเข้าใจกับเนื้อหาสาระในการสอนของผู้ส่งสาร</div><div align="left">3. เพื่อความพอใจ (Enjoy) โดยปกติคนเรานั้น นอกจากจะต้องทราบข่าวคราว เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม และต้องการศึกษาเพื่อหาความรู้แล้ว ยังมีความต้องการในเรื่องความบันเทิงเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจด้วย เช่น ผู้รับสารอาจจะทำการสื่อสารด้วยการฟังเพลง ฟังละครวิทยุ อ่านหนังสือพิมพ์หน้าบันเทิง ชมรายการโทรทัศน์ หรือเกมโชว์ เป็นต้น</div><div align="left">4. เพื่อกระทำ หรือตัดสินใจ (Dispose or Decide) หมายถึงว่า ในการตัดสินใจของคนนั้น มักจะได้รับการเสนอแนะ หรือชักจูงใจให้กระทำอย่างนั้น อย่างนี้ จากบุคคลอื่นอยู่เสมอ ดังนั้นทางเลือกในการตัดสินใจของคนเรานี้จึงขึ้นอยู่กับข้อเสนอแนะนั้นๆ ว่าจะมีความน่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด นอกเหนือจากนี้แล้ว การตัดสินใจของคนเรายังต้องคำนึงถึง การรับข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ และความเชื่อของแต่ละบุคคลที่ได้สั่งสมกันมาด้วย</div><div align="left"></div><div align="left">ที่มา <a href="http://images.bellystay.multiply.com/.../0/.../ทฤษฎีการสื่อสาร.doc"><span style="font-size:130%;color:#3333ff;">Http://images.bellystay.multiply.com/.../0/.../ทฤษฎีการสื่อสาร.doc</span></a><span style="font-size:130%;color:#3333ff;">?...</span><a name="1"></a></div><p align="center"><iframe allowfullscreen='allowfullscreen' webkitallowfullscreen='webkitallowfullscreen' mozallowfullscreen='mozallowfullscreen' width='355' height='266' src='https://www.blogger.com/video.g?token=AD6v5dw_nYpSnekLEQFbyF5c9uJOGi9YI3emfiVb8QbVxAlaDsPfI8vsghh81vqSaNmMjTIHAYUSV8ZxiyihSez1aQ' class='b-hbp-video b-uploaded' frameborder='0'></iframe></p>NiicHiiZhttp://www.blogger.com/profile/12328744447792380326noreply@blogger.com1